ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ในภาคอุตสาหกรรมสิ่งปลูกสร้าง การพัฒนา “อาคารประหยัดพลังงาน” จึงเป็นหนึ่งรูปแบบอาคารที่เจ้าของ ผู้ประกอบการ และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงแต่เพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแข่งขันในการพัฒนาอาคารและธุรกิจ
ในบทความนี้จะอธิบายถึงความหมายของอาคารประหยัดพลังงาน (อาคารสีเขียว) มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง องค์กรประกอบต่างๆ ที่สำคัญ และข้อดีของอาคารประหยัดพลังงานที่ธุรกิจควรทราบ

อาคารประหยัดพลังงานคืออะไร
อาคารประหยัดพลังงาน คือ อาคารที่ได้รับการออกแบบ ก่อสร้าง หรือปรับปรุงโดยมีเป้าหมายหลักในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่เหมาะสม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า พร้อมลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของอาคารสถานที่อีกด้วย
อาคารประเภทนี้มักจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อาคารสีเขียว (Green Building) เนื่องจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. การลดปริมาณการใช้พลังงานและน้ำ
2. การเสริมสร้างความสะดวกสบายและสุขภาพที่ดีของผู้ใช้งานอาคาร
3. การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
มาตรฐาน BEC ในอาคารประหยัดพลังงาน
ในประเทศไทยมีการกำหนดมาตรฐาน BEC (Building Energy Code) เป็นเกณฑ์มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยบังคับใช้กับอาคารขนาด 2,000 ตารางเมตรขึ้นไปใน 9 ประเภท ได้แก่ สถานศึกษา สำนักงาน อาคารโรงมหรสพ อาคารห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า อาคารสถานบริการ อาคารชุมนุมคน อาคารโรงแรม สถานพยาบาล และอาคารชุด ซึ่งต้องออกแบบให้มีการใช้พลังงานตามสัดส่วนที่กำหนดตามเกณฑ์การใช้พลังงานตามมาตรฐานขั้นต่ำ อีกทั้งยังต้องผ่านการประเมินด้านพลังงาน ที่ได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)

6 มาตรฐานและหลักเกณฑ์ BEC
มาตรฐาน BEC ประกอบด้วย 6 หลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่
1. ระบบเปลือกอาคาร (Envelope System) – คือ ประสิทธิภาพทางความร้อนของส่วนประกอบภายนอกอาคาร เช่น ผนัง หลังคา พื้น และหน้าต่าง
2. ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง (Electric Lighting System) – กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับความหนาแน่นกำลังไฟฟ้าของการใช้แสงสว่างภายในอาคาร
3. ระบบปรับอากาศ (Air-Conditioning System) – กำหนดข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพพลังงานของระบบปรับอากาศ เช่น ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) หรือ SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio)
4. พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy System) – เป็นหลักเกณฑ์ที่ส่งเสริมการนำแหล่งพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในการบริโภคพลังงานของอาคาร
5. อุปกรณ์ผลิตน้ำร้อน (Water Heating Appliance) – หลักเกณฑ์ที่มุ่งเน้นไปยังประสิทธิภาพพลังงานของระบบที่ใช้ผลิตน้ำร้อนภายในอาคาร
6. การใช้พลังงานรวมของอาคาร (Whole Building Energy) – หลักเกณฑ์ภาพรวมที่ประเมินการใช้พลังงานทั้งหมดของอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐาน BEC ที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้พลังงาน
นอกจากมาตรฐาน BEC แล้ว ยังมีมาตรฐานสากลอื่นๆ ที่อาคารต่างๆ ในประเทศไทยได้นำมาปรับใช้ เช่น LEED, TREES, และ EDGE ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลกสำหรับการรับรองอาคารสีเขียว
องค์ประกอบสำคัญของอาคารประหยัดพลังงาน
องค์ประกอบต่างๆ ภายในอาคารสีเขียวนั้นมีหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่แนวทางการออกแบบและการจัดการระบบต่างๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพพลังงาน โดยสามารถสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้
การออกแบบอาคารและการวางตำแหน่ง

การออกแบบอาคารประหยัดพลังงานเริ่มต้นจากการวางตำแหน่งอาคารให้เหมาะสมกับทิศทางของแสงแดดและลม โดยหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดโดยตรงที่ด้านทิศตะวันออกและตะวันตก เพื่อลดความร้อนที่เข้าสู่อาคาร ส่วนรูปทรงของอาคารควรเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยให้ด้านสั้นหันไปยังทิศที่ได้รับแสงแดดมากที่สุด นอกจากนี้ ควรจัดวางผังพื้นที่ใช้สอยเอาไว้ในทิศที่ได้รับแสงน้อยหรือไม่ร้อนจัดอย่างทิศเหนือ เป็นต้น
ระบบเปลือกอาคารประสิทธิภาพสูง
ระบบเปลือกอาคารถือหนึ่งในเป็นหัวใจสำคัญของการประหยัดพลังงาน โดยอาจมีการออกแบบด้วยหลังคาสองชั้นที่มีฉนวนกันความร้อน ส่วนผนังใช้วัสดุที่มีความจุความร้อนจำเพาะสูง เช่น อิฐบล็อกหรืออิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา และกระจก Low-E ที่สามารถให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาได้แต่คุณสมบัติลดความร้อนที่เข้ามาภายในอาคาร
ระบบไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะ
ในส่วนของแสงไฟส่องสว่าง มาตรฐาน BEC มุ่งเน้นให้อาคารต่างๆ ใช้หลอดไฟ LED ที่ประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดไฟทั่วไป พร้อมสามารถทำงานร่วมกับระบบ BAS เพื่อควบคุมแสงสว่างอัตโนมัติจากเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและวัดระดับแสงธรรมชาติ เพื่อเปิด-ปิดหรือปรับความสว่างให้เหมาะสม
ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง
การเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพพลังงานสูง เช่น ระบบ VRF (Variable Refrigerant Flow) หรือระบบน้ำเย็น (Chiller) ที่สามารถแบ่งการใช้งานตามโซนให้เหมาะสมกับภาระการทำความเย็นของแต่ละพื้นที่ และควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ พร้อมวางแผนบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ระบบการจัดการน้ำและพลังงานทดแทน
ในอาคารควรดำเนินการติดตั้งสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ รวมถึงระบบต่างๆ ที่สามารถช่วยลดการใช้น้ำ เช่น ระบบเก็บน้ำฝน ระบบนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลดการพึ่งพาพลังงานจากกริด (Grid) ของการไฟฟ้า
องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานอาคาร ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในระยะยาว
ข้อดีของอาคารประหยัดพลังงาน

จากที่กล่าวไปข้างต้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้อดีของอาคารประหยัดพลังงานนั้นมีหลากหลายประการ ทั้งต่อเจ้าของอาคารและผู้ใช้งาน ดังนี้
ประโยชน์ต่อเจ้าของอาคาร
- ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว – สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 40-50% แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะสูงขึ้น 5-10% แต่สามารถคืนทุนภายใน 3-5 ปี[1] [2]
- เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน – อาคารที่ได้มาตรฐานประหยัดพลังงานมักมีมูลค่าสูงกว่าอาคารทั่วไปและได้รับความสนใจจากผู้เช่าและผู้ซื้อมากกว่า
- สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดี – สำหรับองค์กร การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงานถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือและความได้เปรียบทางการแข่งขัน
- ลดความเสี่ยงด้านพลังงาน – ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาพลังงานในอนาคต และสอดคล้องกับกฎหมายด้านพลังงานที่เข้มงวดขึ้น
- ลดค่าบำรุงรักษา – ระบบและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงมักมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าและต้องการการซ่อมบำรุงน้อยกว่า
ประโยชน์ต่อผู้ใช้งานอาคาร
- เพิ่มความสะดวกสบาย – ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ช่วยให้อาคารระบายอากาศได้อย่างเหมาะสม และกระจกที่ช่วยให้แสงธรรมชาติลอดผ่านในระดับที่เพียงพอ ช่วยให้สภาพแวดล้อมภายในอาคารน่าอยู่และน่าทำงานมากยิ่งขึ้น
- สุขภาพที่ดีขึ้น – คุณภาพอากาศภายในอาคารที่ดีจากการระบบระบายอากาศและการกรองฝุ่นที่เหมาะสม และการใช้วัสดุที่ปลอดสารพิษสามารถช่วยลดการเกิดภูมิแพ้ และปัญหาสุขภาพจากมลพิษในอากาศ
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน – สภาพแวดล้อมที่สบายและมีแสงธรรมชาติเพียงพอในอาคารหรือสำนักงาน สามารถช่วยส่งเสริมสมาธิประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 12%[3]
เทคโนโลยี IoT และระบบควบคุมอัจฉริยะในอาคารประหยัดพลังงาน
นอกจากองค์กรประกอบและหลักการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานตามมาตรฐาน BEC แล้ง ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายที่เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการดำเนินงานด้านต่างๆ ภายในอาคาร ซึ่งช่วยทั้งด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายและให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ดังนี้
ระบบ BAS (Building Automation System)
ระบบ BAS หรือ Building Automation System เป็นระบบควบคุมและจัดการอาคารอัตโนมัติที่รวบรวมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในอาคารเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศ แสงสว่าง ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและความสะดวกในการจัดการอาคารสถานที่
ในปัจจุบัน ระบบ BAS ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมากมาย ประกอบกับการกำกับดูแลด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้อง จึงสามารถดูแลอาคารได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมลด Human Error ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป ระบบ BAS มักทำงานร่วมกับระบบ เช่น ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC) ระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง และระบบรักษาความปลอดภัย (Access Control, ระบบไม้กั้นรถยนต์, กล้อง CCTV)
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ BAS ได้ที่นี่
ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (SCADA)
อาคารประหยัดพลังงานที่ทันสมัยมักมีระบบ SCADA (Supervisory Control And Data Acquisition) ที่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการข้อมูลด้านพลังงาน ระบบนี้ช่วยให้ผู้ดูแลอาคารสามารถติดตาม จัดเก็บ ประมวลผล และแสดงผลการใช้พลังงานแบบ Real-Time เพื่อการวิเคราะห์และวางแผนบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยี Internet of Things (IoT)
อาคารสำนักงานหลายแห่งได้นำเทคโนโลยี IoT มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงานของอาคาร ผ่านการควบคุมและจัดการระบบการทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบ IoT เช่น การสั่งเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าและควบคุมการทำงานเครื่องปรับอากาศผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินงานประจำวัน
ระบบตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอากาศ
ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร เช่น ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระดับฝุ่น PM2.5 และระดับความชื้นภายในอาคาร สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับการทำงานของระบบปรับอากาศและระบายอากาศให้เหมาะสมกับสภาพใช้งานจริง ณ เวลานั้นๆ โดยอาจทำงานร่วมกับระบบ BAS เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานโดยอัตโนมัติ
Digital Power Meter
Digital Power Meter หรือ มิเตอร์ไฟฟ้าดิจิทัล เป็นอุปกรณ์วัดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างแม่นยำ เพื่อบันทึกข้อมูลการใช้พลังงานอย่างละเอียด อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ ผู้ดูแลอาคารจึงสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี Big Data Analytics และ AI เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพและพยากรณ์การใช้พลังงานล่วงหน้า ช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เทรนด์อนาคตของอาคารประหยัดพลังงาน
กระแสของ Net-Zero Emission และ Carbon Neutrality ประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลกหันมาใช้ความสำคัญ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งปลูกสร้างด้วยเช่นกัน โดยมีแนวโน้มว่า อนาคตของอาคารประหยัดพลังงานจะมุ่งสู่การเป็น Net-Zero Energy Buildings หรืออาคารที่สามารถผลิตพลังงานได้เท่ากับหรือมากกว่าที่ใช้ในแต่ละปี การใช้เทคโนโลยี IoT และระบบอัตโนมัติเพื่อสร้าง Smart Building รวมถึงการปรับปรุงอาคารเก่า (Retrofitting) ที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงขึ้นโดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีกระแสการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามอง เช่น Biophilic Design หรือการนำองค์ประกอบธรรมชาติเข้ามาผสมผสานในการออกแบบอาคาร เช่น การใช้แสงธรรมชาติส่องสว่างภายในอาคาร การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ เพื่อเชื่อมโยงผู้ใช้งานกับธรรมชาติและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานโดยรวม
จะเห็นได้ว่า อาคารประหยัดพลังงานเป็นมากกว่าแค่เทรนด์ แต่เป็นความจำเป็นในยุคปัจจุบันที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ทั้งในด้านประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพความเป็นอยู่ของผู้ใช้งาน ในมุมธุรกิจ การลงทุนในอาคารสีเขียวที่มีระบบการประหยัดพลังงานตามมาตรฐานและระบบรักษาความปลอดภัยอาคารครบวงจร จะช่วยเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้งาน
LIV-24 โซลูชันบริหารดูแลสถานที่แบบครบวงจร
สำหรับผู้ที่กำลังมองหานวัตกรรมช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในอาคารและโครงการต่างๆ LIV-24 คือ หนึ่งในผู้ให้บริการที่ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย ด้วยการเป็นผู้นำในด้านโซลูชันที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและบริการโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถช่วยตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลการทำงานของอุปกรณ์ในระบบต่างๆ ของอาคารสถานที่อย่างชาญฉลาด ป้องกันอันตรายก่อนเกิดขึ้น ดูแลไลน์ผลิตมหาศาลให้ปลอดภัย ทำงานเต็มประสิทธิภาพด้วย เช่น

- ENERGY MANAGEMENT – ระบบจัดการพลังงานผ่าน IoT ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย เช่น การจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานในอาคารหรือสถานที่ สามารถวางแผนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
- FIRE EDGE IoT – อุปกรณ์ Fire Alarm ป้องกันอัคคีภัยที่คิดค้นโดย LIV-24 รู้ปัญหาได้ทันท่วงที ป้องกันเหตุไฟไหม้ลุกลาม สามารถรู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ไฟไหม้ ช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า อีกทั้งยังประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ENERGY MANAGEMENT – ระบบ IoT อัจฉริยะที่คอยรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงาน เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการเปิด-ปิดระบบไฟอัตโนมัติในช่วง On-Peak / Off-Peal อาคารสามารถสลับกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากไปยังช่วยเวลาที่เหมาะสม ช่วยบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
- VEHICLE FLEET MANAGEMENT – เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งของธุรกิจโรงงาน โกดัง และโรงงานอุตสาหกรรมแบบ Real-Time โดยสามารถติดตามการขนส่ง ตรวจสอบพฤติกรรมผู้ขับขี่ ป้องกันการออกนอกเส้นทาง รวมถึงช่วยวิเคราะห์อัตราการบริโภคน้ำมันเพื่อป้องกันการขโมยน้ำมัน
- WATER MANAGEMENT – ระบบดูแลจัดการปั๊มน้ำ และระบบหมุนเวียนบำบัดน้ำเสีย พร้อมแจ้งเตือนทันทีเมื่อเกิดเหตุน้ำรั่ว หรือมีอัตราน้ำไหลผิดปกติ
- ELEVATOR SYSTEM – ระบบลิฟต์โดยสารอัจฉริยะ ช่วยตรวจจับการทำงานผิดปกติของลิฟต์ที่อาจขัดข้อง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมมีการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ สามารถซ่อมแซมได้ก่อนที่จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
- ELECTRICAL MANAGEMENT – ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติเกี่ยวกับไฟฟ้า เช่น เมื่อมีแรงดันไฟฟ้าสูง หรือต่ำกว่าปกติ ช่วยให้ดูแลระบบไฟฟ้าภายในอาคารให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ผู้ใช้อาคารสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
นอกจากเทคโนโลยี IoT Monitoring System สำหรับกำกับดูแลการใช้พลังงานแล้ว LIV-24 ยังเป็นผู้นำด้านโซลูชันความปลอดภัยแบบรอบด้าน ช่วยจัดการความเสี่ยงในอาคารและโครงการหลากหลายรูปแบบ ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโด โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชวร์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ โดยสามารถออกแบบให้เหมาะได้กับทุกพื้นที่ ทำงานตลอด 24/7 ช่วยลด Human Error เพื่อความปลอดภัยครบวงจร

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่