การบริหารจัดการอาคารและสถานที่อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการจัดการทรัพยากรไปจนถึงการดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งมักต้องใช้งบประมาณลงทุนที่สูงทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบต่างๆ และบุคลากร เช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ระบบควบคุมการเข้า-ออก กล้องวงจรปิด และผู้ดูแลอาคาร เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีอัจฉริยะจึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การจัดการอาคารมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบ BAS ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการจัดการอาคาร
ระบบ BAS คืออะไร
ระบบ BAS หรือ Building Automation System คือ ระบบควบคุมอัตโนมัติที่ใช้ในการบริหารจัดการอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเชื่อมต่อระบบต่างๆ ภายในอาคารเข้าด้วยกันบนเครือข่าย (Network) และอุปกรณ์ IoT โดยระบบ BAS ทำหน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และบริหารจัดการระบบต่างๆ ภายในอาคารแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดการใช้พลังงาน และยกระดับความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร
ในอดีต การบริหารจัดการอาคารต้องพึ่งพาทรัพยากรบุคคลเป็นหลัก ทำให้มีข้อจำกัดในด้านเวลาและประสิทธิภาพ แต่ด้วย ระบบ BAS ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมากมาย จึงสามารถตรวจสอบและควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลด Human Error และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาคารได้อย่างเป็นระบบ
หลักการทำงานระบบ BAS
หลักการทำงานระบบ BAS อาศัยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. เซนเซอร์ (Sensors)
อุปกรณ์ตรวจจับที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากสภาพแวดล้อมและการทำงานของระบบต่างๆ ภายในอาคาร เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ อุณหภูมิ ความชื้น การเคลื่อนไหว คุณภาพอากาศ และปริมาณแสงสว่าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังตัวควบคุมเพื่อประมวลผลและดำเนินการในขั้นตอนต่อๆ ไป
2. ตัวควบคุม (Controllers)
อุปกรณ์สำคัญที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากเซนเซอร์ นำมาประมวลผล และสั่งการไปยังระบบต่างๆ ตามที่ได้ตั้งโปรแกรมไว้ โดยแบ่งเป็น Network Controller ที่เป็นตัวควบคุมหลัก และ DDC Controller ที่เป็นตัวควบคุมย่อยสำหรับระบบเฉพาะทาง
3. ซอฟต์แวร์ (Software)
โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุม แสดงผล และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากระบบทั้งหมด เป็นส่วนที่ผู้ดูแลอาคารสามารถใช้ในการตรวจสอบและสั่งการผ่านคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่กำหนด ทำให้สามารถบริหารจัดการอาคารได้จากทุกที่ทุกเวลา
ด้วยการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 องค์ประกอบหลักนี้ ระบบ BAS จึงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรับรู้สถานการณ์ภายในอาคาร ประมวลผลข้อมูล และตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การจัดการอาคารเป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง
ระบบ BAS มีอะไรบ้าง
![[LIV 24] SEO FEB C01 1 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2025/03/LIV-24-SEO-FEB-C01-1_1200x628.jpg)
ระบบ BAS สามารถจำแนกได้หลากหลายประเภทตามระบบภายในสถานที่ที่ต้องการควบคุม โดยระบบหลักที่สามารถพบได้ในอาคารทั่วไปมีดังนี้
- ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC) – ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคาร ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับการทำงานตามความต้องการจริง เช่น ลดการทำงานในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งาน หรือปรับอุณหภูมิตามสภาพอากาศภายนอก
- ระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง – ควบคุมการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ ปรับความสว่างตามแสงธรรมชาติ และจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า
- ระบบรักษาความปลอดภัย – ประกอบด้วยหลายระบบย่อยที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่:
- Fire Alarm – ระบบแจ้งเตือนเพลิงไหม้อัตโนมัติที่ตรวจจับควัน ความร้อน และเปลวไฟ พร้อมส่งสัญญาณเตือนและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- Access Control – ระบบควบคุมการเข้า-ออกพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น บัตรคีย์การ์ด ระบบสแกนลายนิ้วมือ หรือระบบสแกนใบหน้า รวมถึงไม้กั้นรถยนต์
- CCTV และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว – กล้องวงจรปิดและเซนเซอร์ที่ตรวจจับความผิดปกติ พร้อมส่งสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อพบบุคคลหรือเหตุการณ์ที่น่าสงสัย
ระบบเหล่านี้ทำงานร่วมกันภายใต้ ระบบ BAS ทำให้การบริหารจัดการอาคารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดทรัพยากร
ระบบ BAS กับ BMS ต่างกันอย่างไร
ระบบ BAS (Building Automation System) และ BMS (Building Management System) เป็นระบบบริหารจัดการอาคารอัตโนมัติที่มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสน โดยทั้งสองระบบมีความแตกต่างกันในด้านขอบเขตและการใช้งาน ดังนี้
- BAS (Building Automation System) มุ่งเน้นไปที่การควบคุมระบบทางเทคนิคของอาคารเป็นหลัก เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า และระบบแสงสว่าง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ระบบเหล่านี้ทำงานอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ในขณะที่ BMS (Building Management System) มีขอบเขตการดำเนินการที่กว้างกว่า ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรและการใช้งานอาคารทั้งหมด นอกจากจะควบคุมระบบทางเทคนิคแล้ว BMS ยังรวมถึงการจัดการด้านอื่นๆ เช่น ระบบกล้อง CCTV ระบบลำโพง/เสียงตามสาย ระบบควบคุมประตูทางเข้า-ออก ระบบไม้กั้นลานจอดรถ และการจัดการพื้นที่ใช้สอยต่างๆ
โดยสรุป BMS มีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมมากกว่า BAS โดย BMS สามารถรวมระบบ BAS เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง แต่มีความสามารถในการจัดการและควบคุมที่กว้างขวางกว่า ทั้งนี้ การเลือกใช้ระบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการและขนาดของอาคารเป็นหลัก
ประโยชน์ของระบบ BAS มีอะไรบ้าง
![[LIV 24] SEO FEB C01 2 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2025/03/LIV-24-SEO-FEB-C01-2_1200x628-1024x536.jpg)
การนำ ระบบ BAS มาใช้ในการบริหารจัดการอาคารมีประโยชน์หลายประการ ทั้งในด้านการดำเนินงาน ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ดังนี้
เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
ระบบ BAS ช่วยให้สามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของระบบต่างๆ ภายในอาคารได้จากศูนย์ควบคุมกลาง จึงลดความจำเป็นในการตรวจสอบด้วยตนเอง และช่วยให้ผู้ดูแลอาคารสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่าย
การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานเฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น ปิดไฟในพื้นที่ที่ไม่มีคนใช้งาน หรือปรับการทำงานของเครื่องปรับอากาศตามจำนวนผู้คนในพื้นที่ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายของผู้ใช้อาคาร
ยกระดับความปลอดภัย
ระบบ BAS ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคารผ่านการทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยต่างๆ เช่น Fire Alarm ระบบควบคุมการเข้า-ออก และระบบกล้องวงจรปิด โดยสามารถตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติและแจ้งเตือนได้อย่างรวดเร็ว
ลดการใช้ทรัพยากรบุคคล
แน่นอนว่าการทำงานของระบบอัตโนมัติช่วยลดความจำเป็นในการใช้บุคลากรในการควบคุมและตรวจสอบระบบต่างๆ ภายในอาคาร ทำให้สามารถจัดสรรบุคลากรไปทำงานในด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น
เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้อาคาร
ระบบ BAS ช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมภายในอาคารให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น รักษาอุณหภูมิและความชื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ควบคุมแสงสว่างให้เพียงพอ และรักษาคุณภาพอากาศที่ดี ส่งผลดีต่อผู้ใช้งานอาคาร หรือสถานที่นั้นๆ
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการทำงาน
ระบบ BAS สามารถบันทึกและเก็บรวบรวมข้อมูลการทำงานของระบบต่างๆ และนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการประหยัดพลังงานเพิ่มเติม
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
สามารถปรับแต่งการทำงานของระบบให้เหมาะสมกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น การปรับเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานของระบบปรับอากาศตามฤดูกาลหรือในช่วงเทศกาลวันหยุด ที่มีการใช้งานสถานที่น้อยลงหรือมากขึ้น
จากประโยชน์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ พูดได้ว่า ระบบ BAS เหมาะสำหรับอาคารสถานที่หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม การลงทุนใน ระบบ BAS จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งานสถานที่
LIV-24 โซลูชันบริหารดูแลสถานที่ครบวงจร
เมื่อพูดถึงผู้ให้บริการโซลูชันด้านการบริหารจัดการอาคารและความปลอดภัยที่ครบวงจรในประเทศไทย LIV-24 เป็นหนึ่งในผู้นำที่ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจชั้นนำมากมาย ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและบริการโดยผู้เชี่ยวชาญ

โดย บริการ IoT Monitoring System จาก LIV-24 สามารถช่วยตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลการทำงานของอุปกรณ์ในระบบต่างๆ ของอาคารอย่างชาญฉลาด เช่น
- ENERGY MANAGEMENT – ระบบจัดการพลังงานผ่าน IoT ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย เช่น การจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานในอาคารหรือสถานที่ สามารถวางแผนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
- ELECTRICAL MANAGEMENT – ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติเกี่ยวกับไฟฟ้า เช่น เมื่อมีแรงดันไฟฟ้าสูง หรือต่ำกว่าปกติ ช่วยให้ดูแลระบบไฟฟ้าภายในอาคารให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ผู้ใช้อาคารสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
- WASTE WATER MANAGEMENT – ระบบดูแลจัดการปั๊มน้ำ และระบบหมุนเวียนบำบัดน้ำเสีย พร้อมแจ้งเตือนทันทีเมื่อเกิดเหตุน้ำรั่ว มีอัตราการไหลของน้ำผิดปกติ
- VEHICLE FLEET MANAGEMENT – เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งของธุรกิจโรงงาน โกดัง และโรงงานอุตสาหกรรม โดยสามารถติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์ ตรวจสอบพฤติกรรมผู้ขับขี่ ป้องกันการออกนอกเส้นทาง รวมถึงช่วยวิเคราะห์อัตราการบริโภคน้ำมันเพื่อป้องกันการขโมยน้ำมัน
- ELEVATOR SYSTEM – ระบบลิฟต์โดยสารอัจฉริยะ ช่วยตรวจจับการทำงานผิดปกติของลิฟต์ที่อาจขัดข้อง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ พร้อมมีการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ทำให้สามารถซ่อมแซมได้ก่อนที่จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
- FIRE EDGE IoT – ระบบป้องกันอัคคีภัยที่คิดค้นโดย LIV-24 รู้ปัญหาได้ทันท่วงที ป้องกันเหตุไฟไหม้ลุกลาม สามารถรู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์ว่าปกติหรือไม่ ช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า อีกทั้งยังประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
นอกจากเทคโนโลยี IoT Monitoring System สำหรับกำกับดูแลการใช้พลังงานแล้ว LIV-24 ยังเป็นผู้นำด้านโซลูชันความปลอดภัยแบบรอบด้าน ช่วยจัดการความเสี่ยงในอาคารและโครงการหลากหลายรูปแบบ ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและคอนโด โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชวร์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ โดยสามารถออกแบบให้เหมาะได้กับทุกพื้นที่ ทำงานตลอด 24/7 ช่วยลด Human Error เพื่อความปลอดภัยครบวงจร เช่น
- AI CCTV Analytic และ Motion Sensor – กล้อง CCTV อัจฉริยะ ตรวจจับความผิดปกติด้วย AI ทั้งบุคคลน่าสงสัย สัตว์ ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างควันไฟ เพื่อแจ้งเตือนระงับเหตุได้ทันท่วงที
- License Plate Recognition (LPR) – ระบบอ่านป้ายทะเบียนอัจฉริยะที่ช่วยควบคุมการเข้า-ออกของยานพาหนะ ทำงานร่วมกับประตูอัตโนมัติหรือไม้กั้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การสแกนเข้าออกได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบดั้งเดิม
- Digital Fence – เซนเซอร์ตรวจจับความผิดปกติรอบรั้วของพื้นที่ แจ้งเตือนทันทีเมื่อมีการเคลื่อนไหวตามแนวรั้ว
- Real Time Guard Tour – คอยตรวจสอบสถานะการเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ของรปภ.
- Visitor Management System – ระบบควบคุมการเข้า-ออกโครงการ สามารถบันทึกข้อมูล อ่านป้ายทะเบียนรถ ระบุตัวตนผู้เข้ามาในพื้นที่ได้ หมดกังวลเรื่องผู้บุกรุก
- Access Control – ควบคุมบุคคลเข้าออกพื้นที่ ด้วยระบบ Face Scan สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกประตู และ LRP (License Plate Reader) อ่านป้ายทะเบียนก่อนเข้าสถานที่ ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ได้ตั้งแต่ห้องห้องเดียวหรือทั้งโครงการก็ได้
- Command Centre – ศูนย์ควบคุมส่วนกลางของ LIV-24 เฝ้าสังเกตการณ์แบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ไม่มีหยุดพัก

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่