ความปลอดภัยของอาคารเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยหรือใช้งานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ โรงงาน หรือห้างสรรพสินค้า อันตรายจากอัคคีภัยสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น การมีทางหนีไฟที่ได้มาตรฐานจึงเป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงและช่วยให้ผู้คนสามารถอพยพออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
บทความนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับระบบทางหนีไฟอาคาร มาตรฐานการออกแบบ และการทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ อย่างระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบ Access Control รวมถึงกล้อง CCTV ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของระบบรักษาความปลอดภัยอาคาร
ทำความรู้จักทางหนีไฟอาคาร
ทางหนีไฟ คือ เส้นทางที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนสามารถอพยพออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัยในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะอัคคีภัย ซึ่งตามข้อกฎหมาย ได้ให้คำนิยามของเส้นทางหนีไฟไว้ว่า “ทางออกและแนวทางออกเพื่อให้คนออกจากอาคารเมื่อเกิดอัคคีภัย โดยจะต้องเป็นเส้นทางซึ่งต่อเนื่องกันเพื่อออกจากภายในอาคารไปสู่บันไดหนีไฟ หรือที่เปิดโล่งภายนอกอาคารที่ระดับพื้นดินหรือออกสู่ทางสาธารณะ”

ทั้งนี้ระบบทางหนีไฟอาคารที่สมบูรณ์จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1. เส้นทางหนีไฟ – ทางเดินที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง สามารถนำทางไปสู่การออกจากอาคาร
2. ทางหนีไฟ – หมายถึง โครงสร้างของเส้นทางหนีไฟ ที่ต้องออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟและควันไม่ให้เข้ามาในเส้นทางอพยพ
3. ป้ายทางหนีไฟ – ป้ายบอกทางออกฉุกเฉิน เพื่อสื่อสารเส้นทางอพยพให้ผู้คนเข้าใจและสังเกตได้ง่าย แม้ในภาวะฉุกเฉิน
โดยทางหนีไฟโดยทั่วไปมี 2 รูปแบบ คือทางหนีไฟออกทางด้านล่าง (บันไดหนีไฟ) และทางหนีไฟทางอากาศ (พื้นที่โล่งที่ชั้นดาดฟ้า) ซึ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อไฟลุกลามจนไม่สามารถหนีลงทางด้านล่างได้
นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ มาประยุกต์ใช้อย่าง ระบบป้องกันเพลิงไหม้ ระบบตรวจจับควันไฟ รวมถึง Fire Alarm และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากเพลิงไหม้ รวมถึงหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าทางหนีไฟมีความปลอดภัย พร้อมใช้ อุ่นใจมากยิ่งขึ้น
การวางระบบทางหนีไฟอาคาร ตามมาตรฐานกฎหมาย
การออกแบบทางหนีไฟอาคารในประเทศไทยต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีฉบับสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่
1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
กฎกระทรวงฉบับนี้ได้กำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานของทางหนีไฟสำหรับอาคารประเภทต่างๆ ไว้ดังนี้
- อาคารที่สูงตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไปและสูงไม่เกิน 23 เมตร หรืออาคารที่สูง 3 ชั้นและมีดาดฟ้าที่มีพื้นที่เกิน 16 ตารางเมตร ต้องมีบันไดหนีไฟที่ทำด้วยวัสดุทนไฟอย่างน้อย 1 แห่ง
- บันไดหนีไฟต้องมีความลาดชันน้อยกว่า 60 องศา (ยกเว้นตึกแถวและบ้านแถวสูงไม่เกิน 4 ชั้น)
- บันไดหนีไฟภายนอกอาคารต้องมีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร และมีผนังทึบทนไฟ
- บันไดหนีไฟภายในอาคารต้องมีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร มีผนังทึบทนไฟ และต้องมีช่องระบายอากาศสู่ภายนอกพื้นที่รวมไม่น้อยกว่า 1.4 ตารางเมตร
- ประตูหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟ กว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร เป็นบานผลักออกสู่ภายนอก และไม่มีธรณีหรือขอบกั้น
2. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครได้เพิ่มเติมมาตรฐานของทางหนีไฟให้มีความละเอียดและเข้มงวดมากขึ้น:
- อาคารที่มีชั้นใต้ดินตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไปต้องมีทางหนีไฟเฉพาะอย่างน้อย 1 ทาง
- บันไดหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟและถาวร กว้าง 90-150 เซนติเมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร
- ห้ามสร้างบันไดหนีไฟเป็นแบบบันไดเวียน
- อาคารขนาดใหญ่พิเศษที่ไม่สามารถเปิดช่องระบายอากาศได้ ต้องมีระบบอัดลมภายในช่องบันไดหนีไฟ
- ตำแหน่งบันไดหนีไฟต้องมีระยะห่างจากประตูห้องสุดท้ายด้านทางเดินที่เป็นทางตันไม่เกิน 10 เมตร และระยะห่างระหว่างบันไดหนีไฟไม่เกิน 60 เมตร
- ต้องมีป้ายเรืองแสงหรือไฟฉุกเฉินบอกทางออกสู่บันไดหนีไฟ โดยป้ายต้องมีขนาดสูงไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร
มาตรฐานทางหนีไฟอาคารตามประเภทอาคาร
นอกจากข้อกฎหมายข้างต้นแล้ว สามารถสรุปมาตรฐานทางหนีไฟอาคารและทางออกฉุกเฉิน ตามประเภทของอาคารนั้นๆ ได้อีกด้วย ดังนี้
1. ตึกแถวหรือที่พักอาศัยสูง 4 ชั้น
ตึกแถวที่มีความสูง 4 ชั้น ต้องมีบันไดหนีไฟเพิ่มเติมจากบันไดหลัก อาจเป็นบันไดแนวดิ่งหรือบันไดลิงก็ได้ และต้องสร้างด้วยวัสดุไม่ติดไฟ ส่วนบันไดหนีไฟต้องมีความกว้างอย่างน้อย 40 เซนติเมตร และบันไดขั้นล่างสุดต้องอยู่ห่างจากพื้นดินไม่เกิน 3.50 เมตร
2. อาคารที่ไม่ใช่ตึกแถว สูง 4 – 7 ชั้น
อาคารทั่วไปที่ไม่ใช่ตึกแถว ต้องมีบันไดหนีไฟภายในหรือภายนอกอาคาร ตัวบันไดหนีไฟต้องกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ลูกนอนบันไดต้องกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร ส่วนลูกตั้งควรสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร สุดท้ายนี้ ตำแหน่งบันไดหนีไฟต้องห่างจากประตูห้องสุดท้ายไม่เกิน 10 เมตร
3. อาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ
สำหรับอาคารสูง หรืออาคารที่มีขนาดใหญ่ต้องมีผนังหรือประตูปิดกั้นเปลวไฟหรือควันเข้าสู่บันไดหลักที่ต่อเนื่องตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป นอกจากนี้ผนังและประตูต้องมีคุณสมบัติทนไฟได้ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หากเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษที่ไม่สามารถเปิดช่องระบายอากาศได้ ต้องมีการติดตั้งระบบอัดลมในช่องบันไดหนีไฟแทน
การวางระบบทางหนีไฟอาคารร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่น

จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่ามาตรฐานการก่อสร้างทางหนีไฟนั้นสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เส้นทางออกฉุกเฉินนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยอาคารเท่านั้น ดังนั้นการผสมผสานทางหนีไฟเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ภายในอาคารจะช่วยยกระดับความปลอดภัยให้สูงขึ้นได้ โดยปัจจุบัน อาคารสถานที่ต่างๆ ได้นำระบบความปลอดภัยต่างๆ มาใช้งานร่วมด้วย เช่น
1. ระบบ Access Control กับทางหนีไฟ
ระบบ Access Control หรือระบบควบคุมการเข้า-ออก เป็นหนึ่งในระบบที่นำมาประยุกต์ใช้กับทางหนีไฟอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเชื่อมต่อระบบ Access Control กับประตูหนีไฟ เพื่อให้ประตูล็อกในสถานการณ์ปกติ และทำปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
2. ระบบกล้อง CCTV กับทางหนีไฟ
ระบบกล้อง CCTV มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของทางหนีไฟ ทั้งในการตรวจจับควันไฟและความร้อนผิดปกติได้ล่วงหน้า ก่อนที่จะลุกลามเป็นเพลิงไหม้ สามารถแจ้งผู้ใช้อาคารให้อพยพล่วงหน้าได้ทันท่วงที รวมถึงตรวจสอบได้ว่ามีสิ่งกีดขวางในเส้นทางหนีไฟหรือไม่ และช่วยติดตามสถานะการอพยพเบื้องต้นได้อีกด้วย
3. ระบบ Fire Alarm กับทางหนีไฟ
แน่นอนว่า ทางหนีไฟจะขาดระบบ Fire Alarm ไปไม่ได้ เป็นระบบที่ทำงานควบคู่กับทางหนีไฟ เพื่อส่งเสียงแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบควันไฟหรือเพลิงไหม้ โดยเมื่อ Fire Alarm ทำงานจะต้องมีการปลดล็อคประตูหนีไฟทั้งหมดโดยอัตโนมัติ และส่งสัญญาณให้ระบบแสงสว่างและป้ายทางออกฉุกเฉินทำงาน เพื่อให้การอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น
ทางหนีไฟเป็นส่วนสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยในอาคาร ที่ช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากอัคคีภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบทางหนีไฟอาคารให้ได้ตามมาตรฐานทางหนีไฟอาคารที่กฎหมายกำหนด และการผสานการทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัย เช่น Access Control กล้อง CCTV และ Fire Alarm จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของอาคารได้อย่างครบวงจร
การลงทุนในระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ระบบเหล่านี้จะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ซึ่ง LIV-24 เอง ก็ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง IoT Monitoring System มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการป้องกันอัคคีภัยและการดูแลอาคารสถานที่ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปลอดภัยจากอัคคีภัย อุ่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย FIRE EDGE IoT จาก LIV-24
ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีความปลอดภัยที่มอบโซลูชันครบวงจร LIV-24 ได้พัฒนา IoT Monitoring System ระบบอัจฉริยะตรวจจับการทำงานของทุกระบบในสถานที่ โดยมีโซลูชัน FIRE EDGE IoT ที่ปลอดภัยกว่าระบบ Fire Alarm แบบดั้งเดิม โดยช่วยให้ผู้ดูแลอาคารสามารถ
- รู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์เตือนภัยว่าทำงานปกติ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์อันตราย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
- ประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ทำงานร่วมกับกล้อง CCTV และ AI CCTV Analytic สามารถตรวจจับควันได้รวดเร็วและแม่นยำ แม้ตาเปล่ามองไม่เห็น
- สามารถแจ้ง LIV-24 Command Centre ทันทีที่เกิดเหตุ พร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวดเร็ว เข้าแก้ไขสถานการณ์ได้ฉับไว
นอกจากนี้ IoT Monitoring System ยังครอบคลุมระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ซึ่งใช้ได้กับอาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชว์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้ทำให้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทีมช่างประจำโครงการเข้าตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจและสถานที่

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่