หากพูดถึง Fire Alarm System หรือระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในระบบที่ขาดไม่ได้ในการติดตั้งระบบความปลอดภัยภายในสถานที่ต่างๆ ทั้งอาคาร ห้าง โรงงาน โครงการหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดล้วนวางระบบต่างๆ เพื่อความปลอดภัยต่อทรัพย์สินและชีวิตของผู้ใช้งานสถานที่ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้และไม่มีการแจ้งเตือนที่ดี ก็อาจนำความเสียหายมาให้สถานที่นั้นๆ ได้อย่างมหาศาล ดังนั้นในวันนี้ เราจะมาแนะนำระบบ Fire Alarm ว่าคืออะไร ทำงานอย่างไร แล้วมีกี่ประเภท พร้อมทำความรู้จัก Fire Edge IoT เทคโนโลยีความปลอดภัยจากอัคคีภัยจาก LIV-24
Fire Alarm System คืออะไร ?
Fire Alarm คือ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ โดยจะแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ผ่านระบบอุปกรณ์ตรวจจับต่างชนิดกันไป ตามความเหมาะสมของสถานที่นั้นๆ เช่น Smoke Detector, Heat Detector หรือ Manual Pull Station เป็นต้น
ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในเหตุอัคคีภัย ไฟสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก ซึ่งระบบ Alarm System สามารถช่วยเตือนเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่ได้ทันที จึงอพยพผู้คนออกจากสถานที่ได้รวดเร็ว อีกทั้งยังแจ้งหน่วยดับเพลิงได้ทันท่วงที เพื่อระงับไฟและลดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ระบบ Fire Alarm ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
โดยทั่วไป Fire Alarm ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ดังนี้
1. ชุดจ่ายไฟ (Power Supply)
อุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟให้กับระบบ โดยปกติจะทำงานร่วมกับชุดสำรองไฟฟ้า เพื่อให้ระบบ Fire Alarm ทำงานได้ในกรณีไฟดับ
2. แผงควบคุม (Fire Alarm Control Panel)
ส่วนควบคุมและตรวจสอบการทำงานของระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทั้งหมด สามารถแสดงสถานะการทำงานของอุปกรณ์ รวมถึงส่งสัญญาณแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้ไปยังตำแหน่งต่างๆ ที่กำหนดไว้ ซึ่งแผงควบคุมนั้นมีส่วนประกอบสำคัญหลายประการ ได้แก่
- CPU (Central Processing Unit) – ประมวลผลการทำงานและควบคุมระบบ Alarm System
- สัญญาณไฟ LED – บ่งบอกสถานะต่างๆ ทั้ง แหล่งจ่ายไฟ การตรวจจับของอุปกรณ์ ขัดข้องของอุปกรณ์ตรวจจับ
- ปุ่มควบคุมการทำงาน – เช่น ปุ่มรับทราบเหตุการณ์ ปุ่มหยุดเสียงแจ้งเตือนไฟไหม้ ปุ่มเคลียร์เหตุการณ์ เป็นต้น
- อุปกรณ์ส่งเสียงดังขณะแจ้งเหตุ (Main Sound Buzzer) – สำหรับส่งเสียงดังขณะแจ้งเหตุอัคคีภัย
3. อุปกรณ์เริ่มสัญญาณ (Initiating Devices)
อุปกรณ์ที่จะทำการส่งสัญญาณให้ระบบแจ้งเตือนเหตุอัคคีภัย โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- อุปกรณ์เริ่มสัญญาณแบบแมนนวล (Manual Pull Station) – อุปกรณ์แบบดึงมือ ซึ่งมักติดตั้งในจุดที่สังเกตได้ง่าย สามารถใช้มือกด ดึง หรือทุบกระจกเพื่อเริ่มสัญญาณเตือนภัย
- อุปกรณ์เริ่มสัญญาณแบบอัตโนมัติ (Detectors) – อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อปฏิกิริยาต่างๆ ขณะเกิดเพลิงไหม้ เช่น ควัน ความร้อน และเปลวไฟ จากนั้นจึงส่งสัญญาณแจ้งเตือน ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Smoke Detector, Heat Detector, Flame Detector, Gas Detector และ Water Flow Switch โดยอุปกรณ์แต่ละแบบนั้นเหมาะกับรูปแบบห้อง พื้นที่ และอาคารที่แตกต่างกันไป
4. อุปกรณ์แจ้งสัญญาณด้วยเสียงและแสง (Audible & Visual Signalling Alarm Devices)
อุปกรณ์ที่ใช้เสียงหรือแสงในการเตือนสัญญาณแจ้ง ซึ่งหลายคนอาจคุ้นเคยกันดีในรูปแบบของกระดิ่งเตือนภัย และแสงไฟกะพริบจากป้ายทางหนีไฟ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนในรูปแบบเสียงตามสาย และเสียงอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย
5. อุปกรณ์ประกอบ (Auxiliary Devices)
อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกับ Alarm System เช่น ระบบควบคุมการเปิด-ปิดประตูหนีไฟ สปริงเกอร์ดับเพลิง หรืออื่นๆ เพื่อช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ประเภทของระบบ Fire Alarm System มีอะไรบ้าง
Fire Alarm ในแต่ละสถานที่อาจแตกต่างกันไปตามการพิจารณาติดตั้งของเจ้าของสถานที่ ซึ่งอาจคำนึงจากปัจจัย เช่น ขนาดพื้นที่หรือตัวอาคาร ระดับความปลอดภัย รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้งานโดยทั่วไปจะมีอยู่ 5 ประเภทหลัก ได้แก่
1. Conventional Fire Alarm System (ระบบแจ้งเตือนเพลิงไหม้แบบแบ่งเป็นโซน)
ระบบ Fire Alarm ที่จะแบ่งพื้นที่การควบคุมของอาคารออกเป็นส่วนๆ ตามมาตรฐานของกฎหมายระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เพื่อให้มีระยะค้นหาจุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ แต่ไม่สามารถระบุถึงตำแหน่งที่เกิดเพลิงไหม้ได้เจาะจง
2. Addressable Fire Alarm System (ระบบแบบระบุตำแหน่ง)
เรียกอีกอย่างว่า ระบบ Fire Alarm แบบ Multiplex เป็นระบบที่สามารถระบุที่ตั้งของอุปกรณ์แจ้งเตือนที่มีปัญหาหรือเกิดเหตุ จึงอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้งานหรือผู้ดูแลให้ทราบถึงจุดที่เป็นสาเหตุของการเกิดไฟไหม้อย่างแม่นยำ จึงอพยพผู้คนออกจากจุดเกิดเหตุได้เร็วขึ้น ซึ่งระบบนี้มักถูกติดตั้งในตัวอาคารขนาดใหญ่และตามโรงงานขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มาก
3. Aspiration Fire Detection System (ระบบตรวจจับควันแบบสุ่มอากาศ)
ระบบที่อาศัยเทคโนโลยีการดูดซึมอากาศ เพื่อตรวจจับควันและความร้อน ซึ่งหากควันหรืออากาศที่ตรวจจับมีความผิดปกติสัญญาณเตือนก็จะดังขึ้น โดยนับเป็นระบบที่มีความไวและแม่นยำในการตรวจจับควันเป็นอย่างมาก ซึ่งระบบนี้มักนิยมใช้ในห้องที่ต้องการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น ห้องเซิฟเวอร์ ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4. Intelligent Fire Alarm System (ระบบแจ้งเตือนอัคคีภัยอัจฉริยะ)
ระบบที่ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในการตรวจจับควันและความร้อน รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุความเสี่ยงและการแจ้งเตือนที่แม่นยำกว่าระบบอื่นๆ โดยอาจเป็นการใช้ AI และระบบกล้องวงจรปิดควบคู่กัน เพื่อสอดส่องจุดที่อาจมีเหตุเพลิงไหม้
5. Wireless Fire Alarm System (ระบบไร้สาย)
ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่ต้องเดินสายใดๆ ในการส่งถ่ายข้อมูล จึงถือเป็นระบบที่ติดตั้งสะดวก เหมาะกับสถานที่ที่ไม่สามารถเดินสายได้ เช่น อาคารที่มีโครงสร้างเปลือย พื้นที่เปิดโล่ง เป็นต้น
ข้อควรพิจารณาในการเลือก Fire Alarm System
การเลือกระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System) ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้อาคาร ระบบ Fire Alarm ที่ดีควรต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความเสี่ยงของพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้สามารถตรวจจับและแจ้งเตือนเหตุได้อย่างแม่นยำ เจ้าของและผู้ดูแลอาคารจึงควรพิจารณาปัจจัยหลัก 3 ข้อ ได้แก่
1. ขนาดและความซับซ้อนของอาคาร
ขนาดและความซับซ้อนของอาคารเป็นตัวกำหนดประเภทของระบบที่ควรเลือกใช้ เพราะส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการระบุตำแหน่งต้นเพลิงและการแจ้งเตือน โดยมีแนวทางการพิจารณา ดังนี้
- อาคารขนาดเล็กและไม่ซับซ้อน – เหมาะกับระบบ Conventional ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน (Zone) เพื่อความคุ้มค่าและง่ายต่อการดูแล แต่อาจระบุตำแหน่งได้แค่ว่าเกิดเหตุในโซนใดเท่านั้น ไม่สามารถระบุจุดที่แน่นอนได้
- อาคารขนาดใหญ่และซับซ้อน (เช่น โรงแรม โรงพยาบาล สำนักงานขนาดใหญ่) – แนะนำให้เลือกใช้ระบบ Addressable ที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ตรวจจับแต่ละตัวได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้จัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
- อาคารเก่าหรือต้องการความยืดหยุ่นสูง – อาจพิจารณาระบบ Wireless Fire Alarm (ไร้สาย) ที่ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องเดินสายใหม่ แต่อาจต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายสูงกว่าและต้องสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
2. ความเสี่ยงและความต้องการด้านความปลอดภัย
ลักษณะการใช้งานและกิจกรรมภายในอาคารเป็นสิ่งกำหนดชนิดของอุปกรณ์ตรวจจับที่ควรเลือกใช้ หากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีเชื้อเพลิงไวไฟ เช่น โรงงาน คลังเก็บสารเคมี ห้องเครื่องจักร ควรใช้เครื่องตรวจจับเปลวไฟ (Flame Detector) หรือเครื่องตรวจจับความร้อน (Heat Detector) ที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับพื้นอาคารที่ทั่วไปอย่างห้องสำนักงานหรือทางเดิน อาจเลือกใช้เครื่องตรวจจับควัน (Smoke Detector) ก็เพียงพอ ส่วนพื้นที่ที่มีควัน/ฝุ่น เช่น ห้องครัว โรงงานที่มีฝุ่นมาก ควรหลีกเลี่ยงเครื่องตรวจจับควัน และเลือกใช้เครื่องตรวจจับความร้อนแทน เพื่อป้องกันการแจ้งเตือนผิดพลาด (False Alarm)
สุดท้ายนี้ แนะนำให้ตรวจสอบว่าระบบที่เลือกใช้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายอาคารและมาตรฐานระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ของ วสท. ฉบับล่าสุด เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้รับผิดชอบสามารถตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้ทันที
3. ความสะดวกสบายในการใช้งาน
Fire Alarm System เป็นระบบที่ต้องทำงานอย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ระบบที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและไม่ซับซ้อนจนเกินไป มีการแสดงผลชัดเจนบนแผงควบคุม (Control Panel) และง่ายต่อการทดสอบ/บำรุงรักษา นอกจากนี้ หากมีระบบป้องกันอัคคีภัยอื่น ๆ เช่น ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ควรเชื่อมต่อระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้เข้ากับระบบเหล่าด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับเหตุและการอพยพหนีภัย
ปลอดภัยจากอัคคีภัย สร้างความอุ่นใจมากขึ้นด้วย FIRE EDGE IoT จาก LIV-24
ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีความปลอดภัยที่มอบโซลูชันครบวงจร LIV-24 ได้พัฒนา IoT Monitoring System ระบบอัจฉริยะตรวจจับการทำงานของทุกระบบในสถานที่ โดยมีโซลูชัน Fire Protection System ที่ปลอดภัยกว่าระบบ Fire Alarm แบบดั้งเดิม
- รู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์เตือนภัยว่าทำงานปกติ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์อันตราย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
- ประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ทำงานร่วมกับกล้อง CCTV และ AI CCTV Analytic คอยตรวจจับควันที่มองไม่เห็นได้แม่นยำ ในจุดอับสายตามนุษย์
- สามารถแจ้ง LIV-24 Command Centre ทันทีที่เกิดเหตุ พร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวดเร็ว เข้าแก้ไขได้ฉับไว
นอกจากนี้ IoT Monitoring System ยังครอบคลุมระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ซึ่งใช้ได้กับอาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชว์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้ทำให้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทีมช่างประจำโครงการเข้าตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจและสถานที่
ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมในการรักษาความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่




