ในการอาศัยอยู่ภายในบ้านและการใช้งานอาคาร นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ควรคำนึงไว้เสมอก็คือ ระบบรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากบุคคลภายนอกผู้ไม่ประสงค์ดี เช่น การบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคล การโจรกรรมทรัพย์สินในขณะที่เจ้าของบ้านหรือผู้ดูแลสถานที่ไม่อยู่ ดังนั้นการติดตั้ง สัญญาณกันขโมย จึงเป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญ เพื่อแจ้งเตือนในกรณีมีผู้บุกรุก พร้อมลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สินและอันตราย
สัญญาณกันขโมยคืออะไร?
สัญญาณกันขโมย คือ อุปกรณ์ระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับความผิดปกติและแจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยระบบดังกล่าวจะทำการตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนผ่านเสียงไซเรนหรือแจ้งเตือนผ่านอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน เพื่อให้เจ้าของทรัพย์สินรับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสามารถดำเนินการป้องกันได้ทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ หรือติดต่อฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

องค์ประกอบของระบบกันขโมย
ปัจจุบันมีระบบกันขโมยหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสัญญาณกันขโมยบ้านกับอาคารสถานที่อาจแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ระบบกันขโมยโดยทั่วไปมักมีองค์ประกอบหลักแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1. ชุดควบคุม (Control Panel) – อุปกรณ์หลักที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบทั้งหมด รวมถึงประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งตามจุดต่างๆ และสั่งการให้มีการแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบความผิดปกติใดๆ
2. อุปกรณ์ตรวจจับ (Sensors) – อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ตรวจจับความเคลื่อนไหวของบุคคล การเปิด-ปิดประตูหน้าต่าง แรงสั่นสะเทือน หรือการงัดแงะ เช่น Motion Sensor, Magnetic Contact Sensor หรือ Glass Break Sensor
3. อุปกรณ์แสดงผล (Output/Siren) – อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุผิดปกติหรือการบุกรุก ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงสัญญาณเตือน (Siren) การส่งแจ้งเตือนไปยังมือถือของเจ้าของอาคาร หรือส่งข้อมูลไปยังศูนย์ปฏิบัติการ
ประเภทของสัญญาณกันขโมย
ระบบสัญญาณกันขโมยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามลักษณะการติดตั้งและใช้งาน คือ ระบบกันขโมยแบบเดินสาย และระบบกันขโมยแบบไร้สาย โดยมีรายละเอียดข้อแตกต่างดังนี้
1. ระบบกันขโมยแบบเดินสาย (Wired System)
ใช้สายไฟและสายสื่อสารในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ หรืออุปกรณ์ควบคุมและแสดงผล ซึ่งจะต้องเดินสายรอบบริเวณอาคารในการเชื่อมต่อไปยังจุดควบคุมหลักจุดเดียว เช่น ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด
ข้อดีของระบบที่อาศัยการเดินสาย คือ มีความเสถียรในการส่งสัญญาณสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่หรือสถานที่ที่มีพื้นที่กว้าง หรือติดตั้งในอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีคลื่นแม่เหล็กรบกวน
ส่วนข้อเสียของระบบกันขโมยแบบเดินสาย คือ การติดตั้งที่ใช้เวลานานและซับซ้อนอันเนื่องมาจากการเดินสายไฟ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะผนังหรือฝ้าเพดาน รวมถึงการแก้ไขหรือย้ายตำแหน่งนั้นทำได้ยากหลังติดตั้งเสร็จ จึงเหมาะกับการติดตั้งในช่วงก่อสร้างมากกว่าอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว
2. ระบบกันขโมยแบบไร้สาย (Wireless System)
ระบบนี้ใช้สัญญาณวิทยุหรือสัญญาณไร้สายเช่น Wi-Fi ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ตรวจจับ ชุดควบคุมและแสดงผล และอุปกรณ์แจ้งเตือนเข้าด้วยกันทั้งหมด
ด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สายจึงมีข้อดี คือ ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง สามารถติดตั้งเพิ่มเติมให้กับบ้านหรืออาคารได้โดยไม่จำเป็นต้องเจาะผนัง จึงไม่ส่งผลต่อความสวยงามของบ้านหรืออาคาร ใช้เวลาติดตั้งรวดเร็วกว่าการเดินสาย และยังสามารถย้ายตำแหน่งหรือเพิ่มอุปกรณ์ได้สะดวก
อย่างไรก็ตาม ระบบกันขโมยแบบไร้สายนั้นมีข้อเสียหลักตรงที่มีราคาสูงกว่าระบบเดินสาย มีข้อจำกัดในเรื่องระยะการส่งสัญญาณ และอาจมีสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์อื่นๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการรบกวนของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบและเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้จะเลือกสัญญาณกันขโมยประเภทไหน ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของบ้านและเจ้าของอาคารหรือโครงการต่างๆ ว่า ระบบแบบไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
แนะนำจุดที่ควรติดตั้งสัญญาณกันขโมย
เมื่อได้คำตอบแล้วว่าควรติดสัญญาณกันขโมยดีไหม ข้อกังวลในอันดับต่อมาอาจหนีไม่พ้นตำแหน่งการติดตั้งสัญญาณกันขโมย โดยเฉพาะกับบ้านและอาคารที่มีพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งการติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการบุกรุก โดยตำแหน่งที่ควรพิจารณาติดตั้ง ได้แก่
1. ประตูทางเข้า-ออกหลัก – เป็นจุดที่มีโอกาสถูกบุกรุกมากที่สุด ดังนั้นนอกจากระบบ Access Control แล้ว ก็ควรติดตั้งเซนเซอร์ที่ประตูทุกบานเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย
2. หน้าต่าง – โดยเฉพาะหน้าต่างบริเวณชั้นล่างหรือหน้าต่างที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยควรติดตั้งเซนเซอร์เพื่อตรวจจับการเปิดหรือทุบกระจก
3. บริเวณทางเดินหลัก – แนะนำให้ติดตั้งสัญญาณกันขโมยและเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวในจุดที่ผู้บุกรุกต้องเดินผ่าน เช่น โถงทางเดิน หรือบันได
4. ห้องที่มีทรัพย์สินมีค่า – เช่น ห้องนอนใหญ่ ห้องเก็บของมีค่า ห้องเซิร์ฟเวอร์ หรือห้องควบคุม ซึ่งทั้งหมดล้วนควรติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
5. บริเวณรอบรั้ว – ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวรอบรั้วของอาคาร หรือรั้วรอบพื้นที่ เพื่อตรวจจับการบุกรุกตั้งแต่แนวรั้ว
6. จุดอับสายตา – บริเวณที่มองเห็นได้ยาก เช่น มุมอับ ด้านหลังบ้าน รวมถึงบริเวณภายในอาคารที่มีผู้คนสัญจรน้อย แนะนำให้ติดตั้งเซนเซอร์พร้อมกล้อง CCTV เพิ่มเติม
ความสำคัญของการติดตั้งสัญญาณกันขโมย

- ป้องกันการบุกรุกและลดความเสี่ยงการโจรกรรม
การติดตั้งสัญญาณกันขโมยสามารถช่วยป้องกันการบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดี โดยเมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ ระบบจะส่งเสียงเตือนทันทีทำให้ผู้บุกรุกตกใจและหนีออกไป นอกจากนี้ สำหรับระบบที่มีการส่งการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์ของเจ้าของหรือผู้ดูแลระบบ เพื่อดำเนินการตามมาตรการอื่นๆ ต่อไป
- เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย
ระบบสัญญาณกันขโมยไม่เพียงแต่ป้องกันทรัพย์สินจากการโจรกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องชีวิตของผู้อยู่อาศัยด้วยหรือผู้ใช้งานสถานที่ได้ด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่มีการบุกรุกในเวลากลางคืนหรือขณะที่มีคนอยู่ในบ้าน ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้อยู่อาศัยรู้ตัวและสามารถหาทางหลบหนีหรือขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
- เชื่อมต่อกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน สัญญาณกันขโมยอาคารและบ้านสามารถทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ได้ เช่น กล้องวงจรปิด ระบบ Fire Alarm หรือแม้แต่ระบบไม้กั้นรถยนต์ ทำให้การรักษาความปลอดภัยรัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับ ระบบ BAS (Building Automation System) เพื่อควบคุมการทำงานผ่านจุดเดียวได้อย่างง่ายดาย
สัญญาณกันขโมยเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน สามารถช่วยป้องกันการบุกรุกและการโจรกรรม สร้างความอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย และสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ในอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัย การเลือกระบบที่เหมาะสมกับความต้องการ จะช่วยให้การรักษาความปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว อพาร์ทเม้นท์ อาคารพาณิชย์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม การติดตั้งระบบกันขโมยร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะอย่าง LIV-24 จะช่วยปกป้องทรัพย์สินและชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยกระดับความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะจาก LIV-24
ในฐานะผู้นำและคิดค้นเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ LIV-24 พร้อมยกระดับความปลอดภัยของพื้นที่ โครงการ และสถานที่สำคัญต่างๆ ให้มากกว่าที่เคย ด้วยโซลูชันเหนือระดับและฟังก์ชันที่ครอบคลุมมากกว่าการรักษาความปลอดภัย พร้อมช่วยให้มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ติดตั้ง เฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงการดูแลซ่อมแซมระบบตลอดการใช้งาน

- AI CCTV Analytic และ Motion Sensor – กล้อง CCTV อัจฉริยะ ตรวจจับความผิดปกติด้วย AI ทั้งบุคคลน่าสงสัย สัตว์ ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างควันไฟ เพื่อแจ้งเตือนระงับเหตุได้ทันท่วงที
- License Plate Recognition (LPR) – ระบบอ่านป้ายทะเบียนอัจฉริยะที่ช่วยควบคุมการเข้า-ออกของยานพาหนะ ทำงานร่วมกับประตูอัตโนมัติหรือไม้กั้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การสแกนเข้าออกได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบดั้งเดิม
- Digital Fence – เซนเซอร์ตรวจจับความผิดปกติรอบรั้วของพื้นที่ แจ้งเตือนทันทีเมื่อมีการเคลื่อนไหวตามแนวรั้ว
- Real Time Guard Tour – คอยตรวจสอบสถานะการเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ของรปภ.
- Visitor Management System – ระบบควบคุมการเข้า-ออกโครงการ สามารถบันทึกข้อมูล อ่านป้ายทะเบียนรถ ระบุตัวตนผู้เข้ามาในพื้นที่ได้ หมดกังวลเรื่องผู้บุกรุก
- Access Control – ควบคุมบุคคลเข้าออกพื้นที่ ด้วยระบบ Face Scan สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกประตู และ LRP (License Plate Reader) อ่านป้ายทะเบียนก่อนเข้าสถานที่ ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ได้ตั้งแต่ห้องห้องเดียวหรือทั้งโครงการก็ได้
- Command Centre – ศูนย์ควบคุมส่วนกลางของ LIV-24 เฝ้าสังเกตการณ์แบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ไม่มีหยุดพัก
อีกทั้ง LIV-24 ยังพัฒนาเทคโนโลยี IoT Management System ใช้ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลการทำงานของอุปกรณ์ในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ยิ่งไปกว่านั้น หากเชื่อมต่อกับ Command Centre แล้วหากพบเหตุผิดปกติ สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่