แผ่นดินไหว เป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดเดาได้ ดังเช่นเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 7.7 ในเมียนมา ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและรับมือกับภัยพิบัติดังกล่าว แล้วหลักการในการปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหวต้องทำอย่างไร มีวิธีและขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงการตรวจสอบอาคารเบื้องต้นหลังแผ่นดินไหว พร้อมทำความรู้จักเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยจาก LIV-24 เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีรับมือแผ่นดินไหวอย่างถูกต้องและปลอดภัย
สำหรับวิธีรับมือแผ่นดินไหว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง คือ การปฏิบัติตัวขณะเกิดแผ่นดินไหวและหลังแผ่นดินไหว โดยมีข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัย ดังนี้
ขณะเกิดแผ่นดินไหว
1. ตั้งสติ ไม่ตื่นตระหนก
การมีสติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพื่อให้สามารถตัดสินใจและเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากพื้นที่อันตรายได้อย่างปลอดภัย โดยควรหายใจลึกๆ และพยายามคิดอย่างรอบคอบถึงสิ่งที่ควรทำต่อไป
2. กรณีอยู่ในอาคาร
ควรหลบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง เพื่อป้องกันสิ่งของตกใส่ โดยจับยึดขาโต๊ะไว้ให้มั่นคง เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนอาจทำให้โต๊ะเคลื่อนที่ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถยืนใกล้กำแพงตรงกลางอาคารซึ่งมักมีความแข็งแรงมากกว่าจุดอื่น หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หน้าต่างหรือกระจกที่อาจแตกและทำให้เกิดบาดแผลได้
ทั้งนี้หากอยู่ในอาคารสูง หรือคอนโดแบบ High-Rise ก็ควรหลบหนีออกจากอาหาร โดยใช้บันไดหนีไฟ ที่สำคัญคือ ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด เนื่องจากระบบไฟฟ้าอาจขัดข้อง ทำให้ลิฟต์ค้างและติดอยู่ภายใน แต่หากไม่สามารถอพยพได้ทันที ให้ใช้วัสดุแข็งแรงป้องกันศีรษะ เช่น กระเป๋า หรือแม้แต่หนังสือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากวัสดุที่ตกลงมา
3. กรณีอยู่นอกอาคาร
หากเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่ภายนอกอาคาร ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีโครงสร้างที่อาจพังทลาย เช่น อาคารสูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่อาจหักโค่นลงมาได้ ควรหาพื้นที่โล่งที่ปลอดภัยจากสิ่งที่อาจหล่นลงมา และนั่งยองๆ หรือนอนราบกับพื้น ใช้แขนปกป้องศีรษะและลำคอ ระวังการอยู่ใกล้ทางลาดเอียงหรือภูเขาที่อาจเกิดดินถล่มได้
นอกจากนี้ หากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสึนามิ ให้รีบเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่สูงโดยเร็วที่สุด
4. กรณีกำลังขับรถ
ควรชะลอความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป ห้ามหยุดกะทันหัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุกับรถคันอื่นที่กำลังขับตามมา จากนั้นให้จอดรถในพื้นที่โล่ง ห่างจากอาคาร สะพาน และพื้นที่ที่อาจเกิดดินถล่ม หลีกเลี่ยงการจอดใต้สะพานข้ามทาง ทางด่วน หรือใกล้สายไฟฟ้า ดับเครื่องยนต์และรอจนกว่าแรงสั่นสะเทือนจะหยุดลง ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากขับรถอยู่ใกล้เขื่อนหรือชายหาด เพราะอาจเกิดสึนามิตามมาหากเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดใต้ทะเล
หลังเกิดแผ่นดินไหว
1. ตรวจสอบความปลอดภัย
ควรตรวจสอบว่าตนเองและคนรอบข้างได้รับบาดเจ็บหรือไม่ พร้อมให้การช่วยเหลือเบื้องต้นหากจำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยทันทีหากพบผู้ประสบเหตุที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบระบบสาธารณูปโภค ปิดวาล์วแก๊ส ตัดไฟฟ้า และปิดน้ำประปาหากพบความเสียหาย เพื่อป้องกันการรั่วไหลของแก๊ส ไฟฟ้าลัดวงจร หรือน้ำรั่วซึมตามจุดต่างๆ หรือผ่านระบบ BAS ของอาคาร และทำการปิดระบบต่างๆ ที่มีโอกาสนำไปสู่อันตรายเพิ่มเติม
2. สำรวจความเสียหายของโครงสร้าง
เมื่อแผ่นดินไหวผ่านพ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนกลับเข้าอยู่หรือใช้งานอาคารต่อไป ต้องตรวจสอบโครงสร้างอาคารเบื้องต้น หากพบความเสียหายรุนแรง เช่น ผนังร้าว เสาแตกร้าว หรือพื้นทรุด ให้ออกจากอาคารทันที เนื่องจากโครงสร้างอาจไม่มั่นคงและอาจพังทลายได้ในภายหลัง โดยเฉพาะหากเกิดอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) ตามมา
โดยห้ามกลับเข้าอาคารที่เสียหาย จนกว่าจะได้รับการตรวจสอบจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคาร เพื่อยืนยันความปลอดภัยก่อนเข้าไปกู้ทรัพย์สินหรือเอกสารสำคัญ

3. ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงาน
ควรติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยาผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อรับทราบสถานการณ์ล่าสุดและแนวทางการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์อาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดขึ้นหลังจากแผ่นดินไหวครั้งแรก ซึ่งอาจมีความรุนแรงมากพอที่จะทำให้โครงสร้างที่เสียหายเพิ่มเติม และพังทลายลงได้
4. เตรียมความพร้อมอพยพ (กรณีเกิดอาฟเตอร์ช็อก)
หากต้องอพยพออกจากที่พักอาศัยในกรณีเกิดอาฟเตอร์ช็อก ควรเตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารที่เก็บได้นาน ยารักษาโรคประจำตัว เอกสารสำคัญ และเงินสด ควรแจ้งให้ญาติหรือคนใกล้ชิดทราบถึงแผนการอพยพและสถานที่ที่คาดว่าจะไป นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และเดินทางไปยังจุดอพยพที่หน่วยงานรัฐได้จัดเตรียมไว้
การตรวจสอบอาคารเบื้องต้นหลังแผ่นดินไหว
พอทราบแล้วว่าแผ่นดินไหวต้องทำอย่างไร ทั้งในการปฏิบัติขณะเกิดและหลังแผ่นดินไหวแล้ว เจ้าของอาคาร ผู้ดูแลอาคาร และฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำการตรวจสอบอาคารเบื้องต้นหลังเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสียหายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม โดยสามารถแบ่งการตรวจสอบตามประเภทของโครงสร้างได้ดังนี้
- อาคารโครงสร้างไม้
การตรวจสอบควรเริ่มจากภายนอกอาคารก่อน โดยสังเกตการเอียงตัวของอาคารและรอยแยกของโครงสร้าง จากนั้นตรวจสอบจุดต่อของชิ้นส่วนโครงสร้างไม้ ซึ่งมักเป็นจุดที่เกิดความเสียหายก่อน โดยดูว่าตะปู สกรู หรืออุปกรณ์ยึดต่างๆ หลวมหรือหลุดออกมาหรือไม่ ตรวจสอบตัวชิ้นส่วนโครงสร้าง เช่น เสา คาน และหากพบการแตกหัก หรือเสียรูปทรง แสดงว่าโครงสร้างได้รับความเสียหายรุนแรง ควรระงับการใช้งานอาคารทันทีและให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบโดยละเอียด
- อาคารโครงสร้างอิฐก่อ
ความเสียหายของอาคารโครงสร้างอิฐก่อมักเกิดจากการเอนออกจากระนาบของผนัง โดยเริ่มจากการแตกร้าวในแนวทแยงตามแนวของปูนก่อ ซึ่งมักมีลักษณะเป็นรอยแตกร้าวรูปตัว X หรือขั้นบันได หากรอยแตกร้าวมีขนาดเล็ก โครงสร้างอาจยังคงรับน้ำหนักได้ แต่หากรอยแตกร้าวมีขนาดใหญ่หรือมีการขยายตัว อาจทำให้ผนังไม่สามารถรับน้ำหนักได้และนำไปสู่การพังทลาย
- อาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
อาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นประเภทที่พบมากในเขตเมือง โดยเฉพาะอาคารสูงและอาคารสาธารณะ การตรวจสอบความเสียหายหลังแผ่นดินไหวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร โดยสามารถแบ่งระดับความเสียหายได้ 3 ระดับ คือ
ระดับที่ 1: ไม่มีความเสียหายหรือเสียหายเพียงเล็กน้อย
ระดับที่ 2: มีความเสียหายปานกลาง
ระดับที่ 3: มีความเสียหายรุนแรง
การตรวจสอบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กควรให้ความสำคัญกับจุดวิกฤตที่มักเกิดความเสียหาย ได้แก่ จุดต่อระหว่างเสาและคาน ฐานเสา ผนังรับแรงเฉือน และพื้นไร้คาน ซึ่งเป็นจุดที่มีการกระจุกตัวของแรงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
- อาคารโครงสร้างเหล็กรูปพรรณ
อาคารโครงสร้างเหล็กรูปพรรณมักพบในอาคารขนาดใหญ่ เช่น โรงงาน คลังสินค้า หรืออาคารสำนักงาน การตรวจสอบความเสียหายควรเริ่มจากโครงสร้างหลัก ได้แก่ เสาและคานเหล็ก โดยตรวจดูการโก่งเดาะ การบิดตัว หรือการฉีกขาดของชิ้นส่วนโครงสร้าง เป็นต้น
การตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างเหล็กรูปพรรณควรทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากความเสียหายบางอย่างอาจไม่ปรากฏให้เห็นชัดเจน เช่น ความเสียหายภายในรอยเชื่อม การบิดตัวเล็กน้อยของโครงสร้าง หรือการล้าของวัสดุ ซึ่งอาจตรวจพบได้เฉพาะด้วยเครื่องมือพิเศษหรือโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
การตรวจสอบระบบต่างๆ ในอาคาร

นอกจากโครงสร้างหลักแล้ว ยังจำเป็นต้องตรวจสอบระบบต่างๆ ภายในอาคาร ซึ่งอาจได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยระบบสำคัญที่ควรตรวจสอบ ได้แก่
- ระบบไฟฟ้า – ตรวจสอบสายไฟ แผงวงจรไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ว่ามีความเสียหายหรือไม่ เช่น สายไฟขาด สายไฟหลุดจากจุดยึด หรือแผงวงจรไฟฟ้าชำรุด หากพบความเสียหาย ควรตัดไฟฟ้าทันทีและติดต่อช่างไฟฟ้าเพื่อทำการซ่อมแซม
- ระบบประปาและสุขาภิบาล – ตรวจสอบท่อน้ำและอุปกรณ์ประปาว่ามีการรั่วซึมหรือแตกหักหรือไม่ ซึ่งอาจสังเกตได้จากคราบน้ำบนผนังหรือพื้น หรือแรงดันน้ำที่ลดลงผิดปกติ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบท่อระบายน้ำเสียว่ามีการอุดตันหรือแตกหักหรือไม่ เนื่องจากอาจนำไปสู่ปัญหาสุขอนามัยได้
- ระบบแก๊ส – ตรวจสอบท่อแก๊สและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจุดต่อและวาล์ว หากได้กลิ่นแก๊ส ให้ปิดวาล์วหลักทันที เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ หลีกเลี่ยงการจุดไฟหรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการตรวจสอบและซ่อมแซม
- ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ – ตรวจสอบเครื่องปรับอากาศ พัดลมระบายอากาศ และท่อลม ว่ามีความเสียหายหรือไม่ เช่น เครื่องปรับอากาศหลุดจากจุดยึด หรือท่อลมแตกหัก ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร
- ระบบป้องกันอัคคีภัย – ตรวจสอบระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ และอุปกรณ์ดับเพลิง ว่ายังสามารถทำงานได้ตามปกติหรือไม่ เนื่องจากระบบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารในกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเสียหายของระบบไฟฟ้าหรือแก๊ส
การยืนยันความปลอดภัยก่อนกลับมาใช้งานอาคาร
เมื่อโครงสร้างอาคารและระบบต่างๆ ภายในอาคารได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมแล้ว วิศวกรโครงสร้างจะออกเอกสารยืนยันความปลอดภัยของอาคาร (Building Safety Certificate) ซึ่งรับรองว่าอาคารมีความปลอดภัยและสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เอกสารนี้อาจมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการใช้งานบางส่วนของอาคาร หรือกำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบซ้ำ ดังนั้น เจ้าของอาคารควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร
ในกรณีของอาคารสาธารณะหรืออาคารที่มีความสำคัญ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตึกสำนักงาน หรืออาคารราชการ อาจต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมโยธาธิการและผังเมืองก่อนกลับมาเปิดใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารมีความปลอดภัยสูงสุดสำหรับประชาชน
แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่การรู้คำตอบของคำถามแผ่นดินไหวต้องทำอย่างไร และวิธีรับมือแผ่นดินไหวอย่างถูกต้อง รวมถึงทำการตรวจสอบอาคารเบื้องต้นอย่างเป็นระบบหลังเกิดเหตุ นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น LIV-24 มาใช้ในการรับมือกับภัยพิบัตินั้นถือเป็นอีกก้าวของความสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งไม่เพียงยกระดับความปลอดภัยของอาคารและสถานประกอบการในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินและการฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ ซึ่งนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
ระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ในเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ไฟไหม้ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับอาคารหรือสถานที่ ระบบความปลอดภัยถือเป็นส่วนสำคัญในการลดความเสียหาย แจ้งเตือนและอพยพผู้ใช้สถานที่ ร่วมถึงช่วยประเมินความปลอดภัยก่อนกลับมาเข้าอยู่อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ระบบ Access Control
ระบบ Access Control ช่วยควบคุมการเข้า-ออกพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ระบบล็อกอัตโนมัติ หรือระบบยืนยันตัวตนเพื่อเข้าถึงสถานที่ เพื่อป้องกันในกรณีที่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าสู่พื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น
ระบบ Fire Alarm
ระบบ Fire Alarm คือ ระบบตรวจจับควันเพลิงและไฟไหม้ภายในอาคาร โดยหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในการกลับเข้ามาใช้งานอาคาร บางครั้งเหตุเพลิงไหม้อาจถูกละเลย เนื่องจากทุกคนมุ่งเน้นในการซ่อมแซมรอยแตกราวต่างๆ ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่า แผ่นดินไหวอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายจนมีไฟไหม้ภายในสถานที่ ดังนั้นการมีระบบ Fire Alarm ที่ดีจะช่วยแจ้งเตือนว่ามีเหตุการณ์ไฟไหม้ภายในสถานที่ด้วยหรือไม่ หรือมีอุปกรณ์ตรวจจับควันเพลิงเสียหายในจุดไหนบ้าง
ระบบกล้อง CCTV
กล้อง CCTV โดยทั่วไปสามารถใช้เพื่อสอดส่องถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสถานที่ ค้นหาผู้บาดเจ็บหรือผู้ที่อยู่ภายในสถานที่ได้เบื้องต้น เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการช่วยเหลือ ตรวจสอบ และซ่อมบำรุงได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
LIV-24: โซลูชันความปลอดภัยครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ในยุคที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการรับมือกับภัยพิบัติจึงเป็นสิ่งจำเป็น ระบบรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยจาก LIV-24 สามารถช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมลดโอกาสการเกิดเหตุซ้ำซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านจัดสรรและคอนโด อาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชว์รูม คลังเก็บสินค้า หรือสถานที่อื่นๆ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจส่งผลให้ระบบอาคารทำงานไม่ปกติ โดยโซลูชัน IoT Monitoring System ที่สามารถตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลการทำงานของอุปกรณ์ในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ช่วยให้สามารถตรวจจับและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ลดเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซม และลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานสถานที่ นอกจากนี้ LIV-24 นำเสนอระบบต่างๆ ที่ช่วยให้มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ติดตั้ง เฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง

- AI CCTV Analytic และ Motion Sensor – กล้อง CCTV อัจฉริยะ ตรวจจับความผิดปกติด้วย AI ทั้งบุคคลน่าสงสัย สัตว์ ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างควันไฟ เพื่อแจ้งเตือนระงับเหตุได้ทันท่วงที
- Visitor Management System – ระบบควบคุมการเข้า-ออกโครงการ สามารถบันทึกข้อมูล อ่านป้ายทะเบียนรถ ระบุตัวตนผู้เข้ามาในพื้นที่ได้ หมดกังวลเรื่องผู้บุกรุก โดยเฉพาะระหว่างที่มีการซ่อมบำรุง ว่ารถที่เข้ามาเป็นผู้รับเหมาจริงๆ ไม่ใช่ผู้แอบอ้างเข้าอาคาร
- Access Control – ควบคุมบุคคลเข้าออกพื้นที่ ด้วยระบบ Face Scan สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกประตู และ LRP (License Plate Reader) อ่านป้ายทะเบียนก่อนเข้าสถานที่ ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ได้ตั้งแต่ห้องห้องเดียวหรือทั้งโครงการก็ได้
- License Plate Reader (LPR) – ระบบอ่านป้ายทะเบียนอัจฉริยะที่ช่วยควบคุมการเข้า-ออกของยานพาหนะ ทำงานร่วมกับประตูอัตโนมัติหรือระบบไม้กั้นรถยนต์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การสแกนเข้าออกได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบดั้งเดิม
- Real Time Guard Tour – คอยตรวจสอบสถานะการเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ของรปภ.
- Command Centre – ศูนย์ควบคุมส่วนกลางของ LIV-24 เฝ้าสังเกตการณ์แบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ไม่มีหยุดพัก

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่