จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (DPM) พบว่า อัคคีภัยคิดเป็นราว 50% ของสาธารณภัยทั้งหมดในประเทศ ดังนั้นการลงทุนติดตั้งถังดับเพลิงตามจุดต่างๆ ภายในพื้นที่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าสถานที่นั้นๆ จะมี ระบบรักษาความปลอดภัย อย่างระบบ Fire Alarm แล้วก็ตาม เพราะถังดับเพลิงถือเป็นอุปกรณ์ด่านแรกที่ช่วยระงับเหตุเพลิงไหม้ได้ทันท่วงที ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
พูดได้ว่า การเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ดับเพลิงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น โครงการหมู่บ้าน อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือโรงเรียน ซึ่งแต่ละที่ล้วนมีวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกใช้ประเภทถังดับเพลิงให้เหมาะสมกับประเภทของไฟจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการและผู้ดูแลสถานที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ แล้วถังดับเพลิงมีกี่ชนิด? สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
ทำความรู้จักประเภทของไฟ
ตามมาตรฐาน NFPA 10 ได้แบ่งประเภทของไฟออกเป็น 5 ประเภท (Class) ตามลักษณะของเชื้อเพลิง โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและต้องอาศัยวิธีการดับเพลิงที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ไฟคลาส A
ไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่มีลักษณะเป็นของแข็งติดไฟทั่วไป เช่น ไม้ กระดาษ ผ้า ยาง พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ และวัสดุเครื่องใช้ทั่วไป โดยไฟประเภทนี้มักเกิดการลุกไหม้แบบค่อยเป็นค่อยไป และอาจมีการคุกรุ่นอยู่ภายในเป็นเวลานาน
2. ไฟคลาส B
เป็นไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่มีลักษณะเป็นของเหลวติดไฟหรือก๊าซ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ทินเนอร์ แอลกอฮอล์ สารทำละลาย จาระบี และก๊าซติดไฟอย่างก๊าซหุงต้ม ที่พบได้บ่อยในโรงงานอุตสาหกรรม สถานีบริการน้ำมัน และพื้นที่เก็บสารเคมี
3. ไฟคลาส C
คือ ไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า โดยมักมีสาเหตุจากความขัดข้องหรือไฟฟ้าลัดวงจร อาทิ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานหนักเกินกำลัง สายไฟที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพ หม้อแปลงไฟฟ้ามีปัญหา หรือติดตั้งแผงวงจรไฟฟ้าอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการถูกไฟฟ้าช็อตขณะเพลิงไหม้หรือดับเพลิง
4. ไฟคลาส D
ไฟคลาสนี้เป็นประเภทเกิดจากโลหะ เช่น แมกนีเซียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและยานยนต์ โซเดียมที่พบในห้องปฏิบัติการโพแทสเซียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคมี หรืออะลูมิเนียมผงที่ใช้ในอุตสาหกรรมสี เป็นต้น โดยสารเคมีต่างๆ ส่งผลให้ไฟคลาส D มักมีอุณหภูมิที่สูงมาก และอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงเมื่อสัมผัสกับน้ำ
5. ไฟคลาส K
เพลิงไหม้ที่มักเกิดจากเครื่องครัว เช่น น้ำมันประกอบอาหาร ไขมัน หรือของเหลวอื่นๆ ที่ใช้ประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็นในบ้านเรือน ภัตตาคาร หรือโรงอาหาร โดยมีลักษณะการไหม้ คือ น้ำมันที่ร้อนจัดจะลุกติดไฟและยากต่อการดับด้วยวิธีทั่วไป โดยเฉพาะการใช้น้ำ ที่อาจทำให้น้ำมันที่ลุกไหม้กระจายตัว
ถังดับเพลิงมีกี่ชนิด
![[LIV 24] SEO DEC C01 1 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2025/02/LIV-24-SEO-DEC-C01-1_1200x628.jpg)
ประเภทถังดับเพลิงนั้นมีหลากหลายชนิดเพื่อใช้ดับไฟที่มีแหล่งกำเนิดแตกต่างกันไป หากสงสัยว่าสารในถังดับเพลิงมีอะไรบ้าง ต้องบอกว่าถังดับเพลิงแต่ละชนิดจะคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นสารดับเพลิงที่ใช้จึงต่างกันไปด้วยนั่นเอง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก ได้แก่
1. ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry Chemical)
ถังดับเพลิงที่พบได้บ่อยมากที่สุด เนื่องจากมีราคาไม่แพงและใช้งานได้หลากหลาย โดยมีส่วนประกอบหลักเป็นผงเคมีแห้งที่มีส่วนผสมของโซเดียมไบคาร์บอเนตหรือโพแทสเซียมไบคาร์บอเนต มีประสิทธิภาพในการหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่ของการเผาไหม้ จึงสามารถดับไฟได้ 3 ประเภท คือ A, B และ C
2. ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาเหลวระเหย
ถังดับเพลิงที่ใช้สารเคมีพิเศษ สามารถระเหยได้ และทิ้งคราบ ปลอดภัยต่อมนุษย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถดับไฟได้ทั้งประเภท A, B และ C แต่จะเหมาะกับไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด จึงมักนิยมติดตั้งตามห้องคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ศูนย์ข้อมูล หรือสถานที่ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มูลค่าสูง
3. ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ถังดับเพลิงที่ใช้ก๊าซ CO2 ที่ถูกอัดจนเป็นของเหลวเป็นส่วนประกอบหลักในการดับไฟ เมื่อฉีดจะกลายเป็นไอเย็นจัดที่อุณหภูมิประมาณ -78°C และเป็นการลดออกซิเจนในแหล่งกำเนิดไฟ เหมาะสำหรับดับไฟประเภท B และ C ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในพื้นที่ปิด
4. ถังดับเพลิงชนิดโฟม
อีกหนึ่งชนิดถังดับเพลิงที่พบได้บ่อย โดยถังดับเพลิงชนิดโฟมมีลักษณะการทำงานคือ สร้างชั้นฟิล์มคลุมผิวเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันการรวมตัวกับออกซิเจน หล่อเย็น และดับไฟในที่สุด ซึ่งสามารถดับไฟชนิด A และ B ได้ดี ทั้งยังเหมาะกับเพลิงไหม้น้ำมันและสารเคมี และดับไฟที่มีขนาดใหญ่ได้
5. ถังดับเพลิงชนิด Wet Chemical
ถังดับเพลิงชนิดสูตรเคมีน้ำที่ใช้สารละลายโพแทสเซียมคาร์บอเนต สามารถดับไฟคลาส A, B, C และมีประสิทธิภาพกับคลาส K มากที่สุด ไม่บดบังทัศนวิสัยขณะฉีดใช้งาน และปลอดภัยสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้า
เลือกถังดับเพลิงอย่างไรให้เหมาะสม
จากชนิดของถังดับเพลิงที่กล่าวไปข้างต้น การเลือกถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับสถานที่นั้นควรพิจารณาจากประเภทเชื้อเพลิงเป็นหลัก จากนั้นให้เปรียบเทียบกับถังดับเพลิงที่ต้องการติดตั้ง และควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าถังดับเพลิงนั้น ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยแบ่งเป็น 2 มาตรฐานหลัก คือ
- มอก. 332-2537 สำหรับเครื่องดับเพลิงยกหิ้วชนิดผงเคมีแห้ง
- มอก. 882-2532 สำหรับเครื่องดับเพลิงยกหิ้วชนิดโฟม
แนะนำวิธีการใช้ถังดับเพลิงอย่างถูกต้อง
![[LIV 24] SEO DEC C01 2 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2025/02/LIV-24-SEO-DEC-C01-2_1200x628.jpg)
การใช้งานถังดับเพลิงนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วย 4 ขั้นตอน คือ “ดึง-ปลด-กด-ส่าย” โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ดึง – ดึงสลักนิรภัยบริเวณหัวถังให้ออกจากตัวถังดับเพลิง
- ปลด – ปลดปลายสายฉีดออก โดยจับบริเวณหัวฉีดและดึงออกได้ทันที
- กด – กดคันบีบของถังดับเพลิง เพื่อดับสารเคมีออกมาบริเวณปลายสายให้พร้อมสำหรับดับเพลิง
- ส่าย – ส่ายปลายสายฉีดไปมาเพื่อดับเพลิง โดยควรเล็งที่บริเวณฐานของไฟหรือต้นเพลิง
ทั้งนี้ เมื่อไม่ได้ใช้งานถังดับเพลิงหรือติดตั้งไปสักระยะหนึ่งแล้ว ควรตรวจสอบถังดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้พร้อมกับการใช้งาน โดยให้ สังเกตมาตรวัดว่าเข็มชี้อยู่ในช่องสีเขียว (แสดงว่ายังคงมีแรงดันเพียงพออยู่) จากนั้นตรวจสอบสายฉีด หัวฉีด ว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีสิ่งอุดตัน และเช็กสภาพบรรจุของถังดับเพลิงว่าไม่บุบ บวม และไม่ขึ้นสนิม
การลงทุนด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการป้องกันอัคคีภัย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งนอกจากการวางระบบอย่าง Smoke Detector หรือ Heat Detector แล้ว ก็ไม่ควรละเลยอุปกรณ์อย่างถังดับเพลิงด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ระบบป้องกันอัคคีภัยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในอาคารขนาดใหญ่หรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้น การผสมผสานระหว่างอุปกรณ์ดับเพลิงและระบบความปลอดภัยอัจฉริยะจึงเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการควรพิจารณา เพื่อยกระดับความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้สถานที่ พร้อมลดต้นทุนในระยะยาว

FIRE EDGE IoT โซลูชันป้องกันอัคคีภัยอัจฉริยะจาก LIV-24
LIV-24 ได้พัฒนา IoT Monitoring Management ระบบอัจฉริยะตรวจจับการทำงานของทุกระบบในสถานที่ โดยมีโซลูชัน Fire Protection ที่ปลอดภัยกว่าระบบ Smoke Dector และ Fire Alarm แบบทั่วไป
โดย FIRE EDGE IoT มีฟีเจอร์เด่น ดังนี้
- รู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์เตือนภัยว่าทำงานปกติ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์อันตราย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
- ประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ทำงานร่วมกับกล้อง CCTV และ AI CCTV Analytic คอยตรวจจับควันที่มองไม่เห็นได้แม่นยำ แม้ในจุดอับสายตามนุษย์
- เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ LIV-24 Command Centre เสมือนมีผู้ช่วยในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติตลอด 24 ชม. ในทุกวัน พร้อมแจ้งเตือนทันทีที่เกิดเหตุ และประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวดเร็ว เข้าแก้ไขได้ฉับไว
นอกจากนี้ IoT Monitoring Management ยังครอบคลุมไปถึงระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ซึ่งใช้ได้กับอาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ต โชว์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้แม่นยำ ทำให้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทีมช่างประจำโครงการเข้าตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที

ด้วยโซลูชันความปลอดภัยที่ครอบคลุมจาก LIV-24 คุณสามารถมั่นใจได้ว่าอาคารหรือสถานที่ของคุณจะได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันอัคคีภัยหรือภัยคุกคามอื่นๆ ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจและสถานที่

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่