
เครื่องตรวจจับความร้อน หรือ Heat Detector เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ติดตั้งร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยและระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้กับอาคาร ทรัพย์สิน และผู้คนที่อยู่ภายในสถานที่นั้นๆ จากอันตรายของเหตุอัคคีภัย
ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับหลักการทำงานของ Heat Detector รวมถึงประเภทและวิธีเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน พร้อมแนะนำโซลูชันป้องกันอัคคีภัยล้ำสมัยอย่าง FIRE EDGE IoT จาก LIV-24
Heat Detector ทำหน้าที่อะไร
Heat Detector คือ อุปกรณ์ที่มีหน้าที่ตรวจจับ “ความร้อน” จากการเผาไหม้ของวัตถุ หรือความร้อนจากเปลวไฟ โดยวัดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในพื้นที่ และส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่ออุณหภูมิสูงเกินที่กำหนด ไม่ต้องอาศัยควันไฟในการตรวจจับ โดยเครื่องตรวจจับความร้อนจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์แจ้งเตือนอื่นๆ ภายในระบบ Fire Alarm เช่น สัญญาณเสียง ไฟกะพริบฉุกเฉิน เพื่อแจ้งเหตุอัคคีภัยฉุกเฉินให้ผู้ที่อยู่ในสถานที่ทราบ และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้สามารถเข้าระงับเหตุได้รวดเร็ว ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลาม
Heat Detector ควรติดตรงไหน

การติดตั้ง Heat Detector ควรดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้อุปกรณ์สามารถตรวจจับความร้อนได้อย่างเหมาะสม ไม่ก่อให้เกิด False Alarm หรือข้อผิดพลาดในการตรวจจับ โดยสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร หรือ ตปอ. (Building Safety Inspectors and Officers Association, BSA) ได้กำหนดมาตรฐานดังนี้
- เครื่องตรวจจับความร้อน (Heat Detector) ควรติดตั้งไว้บนฝ้าเพดาน ในระดับความสูงไม่เกิน 10.5 เมตร
- ควรติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนห่างจากกันไม่เกิน 9 เมตร
- อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนควรห่างจากผนังกั้นไม่เกิน 4.5 เมตร แต่ไม่น้อยกว่า 300 มิลลิเมตร
- อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนควรห่างจากหัวจ่ายลมไม่น้อยกว่า 400 มิลลิเมตร
Smoke Detector กับ Heat Detector ต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสับสนระหว่าง Smoke Detector กับ Heat Detector ว่าเป็นอุปกรณ์เดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อุปกรณ์ทั้งสองชนิดมีหลักการทำงานและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
![[LIV 24] SEO NOV C02 1 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2024/12/LIV-24-SEO-NOV-C02-1_1200x628-1024x536.jpg)
Heat Detector จะตรวจจับ “ความร้อน” โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิภายในสถานที่ ซึ่งทำงานโดยใช้หลักการของการขยายตัวของโลหะหรืออากาศเมื่อได้รับความร้อน
- อาจตรวจจับได้ช้ากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Smoke Detector เนื่องจากต้องรอให้อุณหภูมิสูงถึงจุดที่กำหนด หรือมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว แต่การตรวจจับจะเป็นไปอย่างแม่นยำ เมื่อติดตั้งอย่างเหมาะสม
- Heat Detector เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่น ไอน้ำ หรือควันตามปกติ เช่น โรงครัว ห้องเครื่องจักรที่มีความร้อนสูงพื้นที่ที่มีการสูบบุหรี่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่มีควันจากกระบวนการผลิต
Smoke Detector จะทำหน้าที่ตรวจจับ “ควัน” โดยตรวจจับอนุภาคควันไฟที่ลอยขึ้นบนอากาศเมื่อมีเพลิงไหม้ มักใช้หลักการทำงานแบบโฟโต้อิเล็กทริก (Photoelectric) หรือไอโอไนเซชัน (Ionization)
- สามารถตรวจจับเหตุเพลิงไหม้ได้เร็วกว่า เนื่องจากควันไฟมักเกิดขึ้นก่อนที่อุณหภูมิจะสูงถึงจุดที่ Heat Detector ทำงาน
- Smoke Detector เหมาะสำหรับพื้นที่ทั่วไปที่ต้องการการตรวจจับเร็ว เช่น ห้องเก็บเอกสารสำคัญ ห้องคอมพิวเตอร์หรือห้องเซิร์ฟเวอร์ ไปจนถึงพื้นที่พักอาศัยและสำนักงานต่างๆ
Heat Detector มีกี่ประเภท
Heat Detector สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักที่นิยมตามการทำงานของอุปกรณ์ ดังนี้
1. Heat Detector ชนิดตรวจจับอุณหภูมิคงที่ (Fixed Temperature)
อุปกรณ์จะทำงานเมื่ออุณหภูมิในพื้นที่สูงถึงจุดที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปจะตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 58-60 องศาเซลเซียส หลักการทำงานอาศัยการทำงานของโลหะ 2 ชนิดที่มีการขยายตัวต่างกัน เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด โลหะจะบิดตัวและโค้งงอ ทำให้วงจรไฟฟ้าต่อกัน ส่งผลให้เกิดสัญญาณแจ้งเตือน
ข้อดีของเครื่องชนิดตรวจจับอุณหภูมิคงที่ คือ มีความเสถียรสูง ไม่เกิดสัญญาณหลอก เหมาะกับพื้นที่ที่อาจมีการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิไม่มากนัก และมีราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ
2. Heat Detector ชนิดตรวจจับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ (Rate-of-Rise)
อุปกรณ์จะทำงานเมื่อตรวจพบการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ โดยทั่วไปจะตั้งค่าที่ประมาณ 8.5 องศาเซลเซียสต่อนาที ระบบนี้ใช้หลักการของการขยายตัวของอากาศภายในช่องว่างของอุปกรณ์ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเร็ว อากาศจะขยายตัวอย่างรวดเร็วจนดันแผ่นไดอะแฟรมให้สัมผัสกับขั้วไฟฟ้า ทำให้เกิดสัญญาณแจ้งเตือน
ระบบนี้มีข้อได้เปรียบ คือ ตรวจจับเหตุเพลิงไหม้ได้เร็วกว่าระบบอุณหภูมิคงที่ เหมาะกับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิปกติค่อนข้างคงที่และสามารถตรวจจับไฟที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีเครื่องตรวจจับความร้อนอีกประเภทหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น คือ
3. Heat Detector ชนิดผสม
เป็นอุปกรณ์ที่รวมการทำงานของทั้งสองระบบข้างต้นเข้าด้วยกัน จึงสามารถตรวจจับได้ทั้งอุณหภูมิคงที่ และการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ทำให้มีประสิทธิภาพในการตรวจจับสูงกว่า โดยอุปกรณ์จะทำงานเมื่อเข้าเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ได้แก่
- เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด (Fixed Temperature)
- เมื่ออัตราการเพิ่มของอุณหภูมิสูงเกินค่าที่กำหนด (Rate-of-Rise)
Heat Detector ชนิดผสมจึงมีข้อได้เปรียบทั้งด้านความยืดหยุ่นที่สูง ลดข้อจำกัดของระบบแต่ละประเภท ลดข้อจำกัดของระบบแต่ละประเภท จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ติดตั้ง Heat Detector ชนิดไหนดี
![[LIV 24] SEO NOV C02 2 1200x628](https://liv-24.com/wp-content/uploads/2024/12/LIV-24-SEO-NOV-C02-2_1200x628-1024x536.jpg)
การเลือกติดตั้ง Heat Detector ให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอัคคีภัย โดยแต่ละประเภทมีความเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน
สำหรับ Heat Detector ชนิดตรวจจับอุณหภูมิคงที่ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมากหรือมีควันเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น โกดังเก็บสินค้า คลังวัตถุดิบ หรือห้องครัว นอกจากนี้ยังเหมาะกับพื้นที่ที่มีความร้อนสูงจากการทำงาน อาทิ ห้องเครื่องจักร ห้องหม้อไอน้ำ หรือโรงงานผลิต รวมถึงห้องที่มีการจุดธูปหรือเทียน เช่น ห้องพระ เป็นต้น
ในส่วนของ Heat Detector ชนิดตรวจจับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ จะเหมาะกับพื้นที่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ เช่น ห้องพักอาศัย ห้องประชุม สำนักงาน หรือห้องทำงานที่มีการปรับอากาศ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางอย่างห้องโถง ล็อบบี้ ทางเดิน และบันไดระหว่างชั้น อุปกรณ์ประเภทนี้สามารถตรวจจับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งใกล้เครื่องปรับอากาศโดยตรง เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์
ไม่ว่าจะติดตั้ง Heat Detector ประเภทใดก็ตาม ควรให้ความสำคัญกับการจัดเตรียมพื้นที่ โดยต้องตรวจสอบโครงสร้างฝ้าเพดานว่าแข็งแรงพอ วางแผนตำแหน่งติดตั้งให้ครอบคลุม และคำนวณระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ให้เหมาะสมตามมาตรฐาน นอกจากนี้ การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ ทดสอบการทำงาน และตรวจสอบการเชื่อมต่อกับระบบแจ้งเตือนตามระยะเวลาที่กำหนด จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคารและทรัพย์สินได้เป็นอย่างดี และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ปัจจุบันจึงมีโซลูชันที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการป้องกันอัคคีภัยอย่าง FIRE EDGE IoT จาก LIV-24
FIRE EDGE IoT โซลูชันป้องกันอัคคีภัยอย่างมีประสิทธิภาพจาก LIV-24
LIV-24 ได้พัฒนา IoT Monitoring Management ระบบอัจฉริยะตรวจจับการทำงานของทุกระบบในสถานที่ โดยมีโซลูชัน Fire Protection ที่ปลอดภัยกว่าระบบ Smoke Dector และ Fire Alarm แบบทั่วไป

โดย FIRE EDGE IoT มีฟีเจอร์เด่น ดังนี้
- รู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์เตือนภัยว่าทำงานปกติ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์อันตราย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
- ประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ทำงานร่วมกับกล้อง CCTV และ AI CCTV Analytic คอยตรวจจับควันที่มองไม่เห็นได้แม่นยำ แม้ในจุดอับสายตามนุษย์
- เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับ LIV-24 Command Centre เสมือนมีผู้ช่วยในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ผิดปกติตลอด 24 ชม. ในทุกวัน พร้อมแจ้งเตือนทันทีที่เกิดเหตุ และประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวดเร็ว เข้าแก้ไขได้ฉับไว
นอกจากนี้ IoT Monitoring Management ยังครอบคลุมไปถึงระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน ซึ่งใช้ได้กับอาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ต โชว์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้แม่นยำ ทำให้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทีมช่างประจำโครงการเข้าตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที
ด้วยโซลูชันความปลอดภัยที่ครอบคลุมจาก LIV-24 คุณสามารถมั่นใจได้ว่าอาคารหรือสถานที่ของคุณจะได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันอัคคีภัยหรือภัยคุกคามอื่นๆ ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจและสถานที่

ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วย LIV-24 (ลิฟ-24)
เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ ปกป้อง ปลอดภัย ผสานพลัง AI และมนุษย์ ตลอด 24/7
ให้ LIV-24 ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณโดยเฉพาะ 02 688 7555 หรือ คลิกที่นี่