Manual Fire Alarm คืออะไร? กุญแจสำคัญของความปลอดภัยในอาคารควรรู้

Manual Fire Alarm คืออะไร? กุญแจสำคัญของความปลอดภัยในอาคารควรรู้

ความปลอดภัยจากอัคคีภัยถือเป็นวาระและเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการอาคารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานสูง โรงงานอุตสาหกรรม หรือคอนโดมิเนียม เพราะอัคคีภัยสามารถสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมหาศาลในเวลาเพียงไม่กี่นาที ระบบป้องกันและแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ “ต้องมี” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้อาคาร

แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยจะพัฒนาไปไกลจนมีระบบ AI เข้ามาช่วยตรวจจับ แต่การตัดสินใจของมนุษย์ยังคงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง Manual Fire Alarm จึงยังคงเป็นมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดให้มีในทุกอาคาร 

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Manual Fire Alarm หรือ Manual Pull Station ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นว่าการผสานรวมอุปกรณ์ดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง AI CCTV Analytic ที่สามารถมองเห็นควันไฟได้แม้ในที่มืด หรือระบบ IoT จาก LIV-24 จะช่วยอุดช่องโหว่และยกระดับความปลอดภัยได้อย่างไร

image

Manual Fire Alarm คืออะไร?

Manual Fire Alarm หรือเป็นภาษาไทยว่า “อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ด้วยมือ” คือ อุปกรณ์เริ่มสัญญาณเตือนอัคคีภัยประเภทหนึ่งที่ต้องอาศัยการกระทำของบุคคล (Manual) ในการกดหรือดึงเพื่อส่งสัญญาณ โดยปกติแล้วอุปกรณ์นี้จะเป็นกล่องสีแดงติดตั้งอยู่ตามผนังทางเดินหรือทางหนีไฟ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ด่านหน้า” ให้ผู้ที่พบเห็นเหตุเพลิงไหม้สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยให้ผู้อื่นในอาคารได้รับทราบและอพยพได้ทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีที่ระบบอัตโนมัติตรวจจับได้ล่าช้า หรือเกิดเหตุเพลิงไหม้ในบริเวณที่ระบบความปลอดภัยไม่ครอบคลุม

หลักการทำงานและเชื่อมต่อระบบ Alarm System 

หลักการทำงานของ Manual Fire Alarm นั้นถูกออกแบบมาให้เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ใช้งานได้รวดเร็วที่สุดในภาวะตื่นตระหนก โดยเมื่อมีการดึงคันโยกหรือกดปุ่มที่ตัวอุปกรณ์ กลไกภายในจะทำงานและส่งสัญญาณไปยังตู้ควบคุมหลัก หรือ Fire Control Panel ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของระบบเตือนภัย

หลังจาก Fire Control Panel ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ ก็จะทำการประมวลผลและสั่งการไปยังระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทันที ได้แก่

1. ระบบแจ้งเตือน – ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ใน Alarm System เช่น กระดิ่ง (Bell), ไซเรน (Siren), หรือไฟกะพริบ (Strobe Light) ให้เริ่มทำงาน เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้อยู่ในอาคารทราบและอพยพ

2. ระบบความปลอดภัยอื่นๆ – ในอาคารที่มีระบบอัจฉริยะ ตู้ควบคุมอาจส่งคำสั่งไปยังระบบ Access Control เพื่อปลดล็อกประตูหนีไฟทุกบานอัตโนมัติ สั่งให้ลิฟต์ลงมาจอดที่ชั้นล่างสุด หรือสั่งปิดระบบปรับอากาศเพื่อป้องกันการลามของควัน

ประเภทของ Manual Fire Alarm

แม้จะมีหน้าที่เดียวกัน แต่รูปแบบการใช้งานของอุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ด้วยมือมีหลายดีไซน์เพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัยที่ต่างกัน โดยหลักๆ แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้

1. แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Action Type)

  • Single Action Station – เป็นประเภทที่ใช้งานง่ายที่สุด เพียงแค่ดึงคันโยกหรือกดลงครั้งเดียว ระบบจะทำงานทันที ข้อดีคือรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือมีโอกาสเกิดการทำงานผิดพลาดจากการไปชนหรือเด็กกดเล่นได้ง่าย
  • Dual Action Station – ออกแบบมาเพื่อลดปัญหากดผิดพลาด โดยผู้ใช้ต้องทำ 2 ขั้นตอนจึงจะส่งสัญญาณได้ เช่น ต้อง “ดัน” ฝาครอบเข้าไปก่อน แล้วจึง “ดึง” คันโยกลงมา (Push in, then Pull down)

2. แบ่งตามกลไกภายใน

  • Break Glass – เป็นรุ่นดั้งเดิมที่ต้องทุบกระจกบางๆ ด้านหน้าให้แตกก่อนจึงจะกดปุ่มได้ เพื่อป้องกันการกดเล่น แต่ปัจจุบันเริ่มลดความนิยมลงเนื่องจากเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและความยุ่งยากในการเปลี่ยนกระจก
  • Resettable – เป็นรุ่นนิยมในปัจจุบัน เมื่อถูกดึงหรือกดแล้ว สามารถใช้กุญแจไขเพื่อรีเซตอุปกรณ์ให้กลับมาสู่สภาพเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่

3. แบ่งตามสี

สีของอุปกรณ์ Manual Fire Alarm อาจแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยมี 3 สีที่เป็นที่ใช้งานในระดับสากล ดังนี้

  • สีแดง – ใช้สำหรับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire) เป็นสีมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป
  • สีเขียวหรือขาว – มักใช้สำหรับเหตุฉุกเฉินอื่นๆ เช่น ปุ่มกดเพื่อปลดล็อกประตูฉุกเฉิน (Emergency Door Release) เป็นต้น
  • สีน้ำเงิน – มักใช้สำหรับสัญญาณเตือนภัยคุกคาม หรือการสั่งล็อกดาวน์พื้นที่ (Lockdown) 

ทำไม Manual Fire Alarm ยังจำเป็นในยุคดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และ AI เข้ามามีบทบาท อุปกรณ์ Manual Fire Alarm อาจดูเหมือนเทคโนโลยีล้าหลัง แต่ความจริงแล้วยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในฐานะระบบสำรอง (Redundancy) เนื่องจากในบางสถานการณ์ ระบบ AI อาจใช้เวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่สายตามนุษย์ที่เห็นเปลวไฟสามารถตัดสินใจแจ้งเหตุได้ทันที

อย่างไรก็ตาม การมีเพียงระบบ Manual ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน หากจุดที่เกิดเหตุไม่มีคนอยู่ หรือเป็นจุดอับสายตา การนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาเสริมการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเชื่อมต่อสัญญาณจาก Manual Pull Station เข้ากับระบบแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้นิติบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ รปภ. ทราบตำแหน่งที่เกิดเหตุ แทนที่จะต้องวิ่งไปดูที่ตู้ Fire Control Panel เพียงอย่างเดียว

ตำแหน่งการติดตั้ง Manual Fire Alarm

image

เพื่อให้อุปกรณ์ Manual Pull Station ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การติดตั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) หรือมาตรฐานสากลอย่าง NFPA โดยจุดที่ต้องติดตั้งมีดังนี้

  • ทางหนีไฟและทางออก – ต้องติดตั้งบริเวณประตูทางออกสู่บันไดหนีไฟทุกชั้น เพื่อให้ผู้ที่กำลังหนีไฟสามารถกดแจ้งเตือนได้ระหว่างทาง
  • ทางออกหลักและทางออกรองของอาคาร – เพื่อให้สามารถใช้งานอุปกรณ์และอพยพได้รวดเร็วที่สุด
  • บริเวณที่มีความเสี่ยงสูง – เช่น ห้องครัว ห้องเครื่อง หรือพื้นที่เก็บวัตถุไวไฟ

นอกจากนี้ ควรติดตั้งในระยะที่เข้าถึงได้ง่าย โดยทั่วไปผู้ใช้อาคารไม่ควรต้องเดินไกลเกิน 30-45 เมตร เพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ และต้องติดตั้งในระดับความสูงที่เหมาะสม (ประมาณ 1.20 – 1.50 เมตร จากพื้น) เพื่อให้ทุกคนรวมถึงผู้ใช้วีลแชร์ สามารถเอื้อมถึงได้ ที่สำคัญคือห้ามมีสิ่งกีดขวาง ไม่มีตู้มาบัง และควรอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ

ข้อดีและข้อจำกัดของ Manual Fire Alarm

ข้อดี

  • ตอบสนองไว – หากมีผู้พบเห็นเหตุการณ์ สามารถใช้งาน Alarm System ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอควันหรือความร้อนไปโดนเซนเซอร์
  • โครงสร้างไม่ซับซ้อน – เป็นระบบที่มีกลไกพื้นฐาน บำรุงรักษาง่าย และมีความทนทานสูง
  • แจ้งเตือนทั่วถึงอาคาร – เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้เชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยส่วนกลาง ทำให้คนทั้งอาคารรู้ตัวพร้อมกัน

ข้อจำกัด

  • ต้องอาศัยคน – ต้องให้บุคคลเป็นคนใช้งาน ซึ่งจะไม่ได้ผลหากเกิดเพลิงไหม้ในห้องปิด หรือช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่ในอาคาร
  • Human Error – มีโอกาสเกิดการแจ้งเตือนลวง (False Alarm) จากความคึกคะนอง หรือความเข้าใจผิดของผู้ใช้งาน รวมถึงความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเกิดเหตุจริง

จะเห็นได้ว่า Manual Fire Alarm ถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบความปลอดภัยในอาคาร ทำหน้าที่ประสานความรวดเร็วในการตัดสินใจของมนุษย์เข้ากับระบบเตือนภัยของอาคาร แต่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด การพึ่งพาระบบ Manual หรือระบบ Fire Alarm แบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินที่มีค่า การผสานระบบแจ้งเตือนอัคคีภัยร่วมกับโซลูชันความปลอดภัยอัจฉริยะอย่าง Fire Edge IoT จาก LIV-24 จึงเป็นคำตอบที่จะช่วยปิดช่องโหว่และสร้างมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่เหนือกว่า

ยกระดับความปลอดภัยจากอัคคีภัยด้วย FIRE Protection จาก LIV-24

LIV-24 เข้าใจถึงข้อจำกัดของระบบป้องกันอัคคีภัยแบบเดิม เพราะทุกเทคโนโลยีอัจฉริยะ ต้องเริ่มจากความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้ เราจึงได้พัฒนาระบบ IoT Monitoring System ที่สามารถตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลการทำงานของทุกระบบในสถานที่  ‘FIRE EDGE IoT’ ที่มอบความปลอดภัยมากกว่าระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้แบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลอาคารสามารถ

  • รู้สถานะการทำงานของอุปกรณ์เตือนภัยว่าทำงานปกติ ไม่พลาดทุกเหตุการณ์อันตราย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่า
  • ทำงานร่วมกับกล้อง CCTV และ AI CCTV Analytic สามารถตรวจจับควันไฟได้รวดเร็วและแม่นยำ แม้ตาเปล่ามองไม่เห็น
  • ในกรีณีที่เชื่อมต่อกับ LIV-24 Command Centre จะเสมือนมีผู้ช่วยคอย Monitor ความเสี่ยงตลอด 24 ชม. ด้วยเจ้าหน้าที่และ AI  พร้อมประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวดเร็ว เข้าแก้ไขสถานการณ์ได้ฉับไว
  • ประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง

นอกจากนี้ IoT Monitoring System  ยังครอบคลุมระบบไฟฟ้า ประปา ลิฟต์โดยสาร คุณภาพอากาศ และการใช้พลังงาน  ซึ่งใช้ได้กับอาคารเพื่อการพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ท โชว์รูม ไปจนถึงคลังเก็บสินค้า และอื่นๆ  สามารถระบุเหตุการณ์และจุดเกิดเหตุได้ทำให้สามารถประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทีมช่างประจำโครงการเข้าตรวจสอบและแก้ไขได้ทันที ลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ป้องกันได้แม่นยำ ยกระดับธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของทุกระบบ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจและสถานที่

สนใจรายละเอียดการติดตั้ง LIV-24 ติดต่อปรึกษาได้ที่  02 688 7555 หรือ cscontact@liv-24.com 

หรือบริการอื่นๆ เพิ่มเติมที่ liv-24.com

แชร์ข่าวและบทความ
Rectangle 9437

ข่าวและบทความที่น่าสนใจ

To top
Interested in our solutions?
Feel Free to download
E-brochure

"*" indicates required fields

This field is for validation purposes and should be left unchanged.